แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเลือกตั้ง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเลือกตั้ง แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2568

แนะแก้กม.มุ่งดัดหลังนายกอบจ.

 

แนะแก้กม.มุ่งดัดหลังนายกอบจ. 
เดลินิวส์ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘
          ลาออกก่อนหมดวาระ ชี้ผลาญงบ-ทำคนเบื่อ
          นักวิชาการชี้นายก อบจ.ลาออกก่อนหมดวาระ ทำให้ท้องถิ่นต้องจัดงบเลือก ส.อบจ. อีกครั้งในเวลาห่างกันไม่นาน เปลืองงบประมาณ แถมทำให้คนเบื่อต้องออกไปใช้สิทธิหลายรอบ แนะดัดหลังแก้กฎหมายใช้วาระ อบจ.เหมือน ส.อบจ. ถ้าชิงลาออกก่อน คนมาใหม่จะอยู่ได้เท่าอายุที่เหลือของ ส.อบจ. หรือลาออกในช่วง 6 เดือนสุดท้ายก็ไม่ต้องมีเลือกตั้งใหม่ ศูนย์ข้อมูลเผยมี 14 จังหวัดที่นายก อบจ.ลาออกแล้วได้เลือกตั้งกลับมา มี 8 จังหวัดที่ได้คนที่ไม่เกี่ยวกับกลุ่มนายก อบจ.เดิม โคราชตั้งงบเลือกตั้งสูงสุด รองลงมาคือปากน้ำ วิป 3 ฝ่ายมีมติเลื่อนพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไปเป็น 13-14 ก.พ. "วันนอร์" ชี้ไม่มีผลกระทบเพราะอย่างไรก็ต้องรอกฎหมายประชามติบังคับใช้อีกร้อยกว่าวัน "วิสุทธิ์" แจงเลื่อนเพื่อความรอบคอบ "วุฒิชาติ" แบะท่า สว.ยังไม่เห็นด้วยแก้ไข ม.256 ตั้ง ส.ส.ร. หวั่นสุ่มเสี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สส.ปชน.ขอรัฐสภาคุมเข้มรักษาความปลอดภัย หวั่นเกิดเหตุกราดยิง

 เปิดสถิติเลือกอบจ.ที่ผ่านมา
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์กร Rocket Media Lab ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนที่รวบรวมข้อมูลใหญ่ หรือ Big data ประเด็นต่าง ๆ ได้สำรวจการเลือกตั้งนายก อบจ. ส่วนที่น่าสนใจคือ  มีการเลือกนายก อบจ.ไปแล้ว 29 จังหวัด มี 26 จังหวัด ที่เป็นการเลือกตั้งใหม่จากการที่ นายก อบจ. ลาออกก่อนหมดวาระ มี 14 จังหวัดที่ นายก อบจ. คนเดิม ได้รับการเลือกตั้งกลับมา  คือกำแพงเพชร ชุมพร นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยโสธร ราชบุรี สุโขทัย อ่างทอง อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และอุบลราชธานี และ 7 จังหวัดที่เป็นเครือข่ายหรือพรรคเดิมได้รับการเลือกตั้งเข้าไป คือ กาญจนบุรี ชัยนาท ตาก พะเยา เลย สระแก้ว และอุดรธานี ในขณะที่อีก 8 จังหวัด ที่ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากกลุ่มใหม่ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับนายก อบจ. คนเดิม ซึ่งก็คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช ระนอง สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และปทุมธานี (จากการเลือกตั้งหลัง พล.ต.อ.คำรณวิทย์ลาออก ได้นายชาญ พวงเพ็ชร์ และต่อมาโดนใบเหลือง) การจัดการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นั้น กกต. ยกให้  อปท.จัดเอง  อปท.ก็ต้องใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี และหากไม่เพียงพอก็จะต้องใช้เงินจากเงินสะสมหรือทุนสำรองสะสมของตนเองมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้ง
          โคราชตั้งงบเลือกตั้งสูงสุด
          จากรายงานประมาณการรายจ่ายในข้อบัญญัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2568 ของ อบจ. ทั่วประเทศ พบว่า มีการตั้งงบประมาณการจัดการเลือกตั้ง อบจ. ในปี 2568 ไว้ 1,853,876,869 บาท ยกเว้น อบจ.มุกดาหารและสุพรรณบุรี ที่ยังไม่ผ่านข้อบัญญัติงบประมาณ อบจ. ปี 2568, อบจ.แม่ฮ่องสอนที่ไม่มีการตั้งงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งไว้ในข้อบัญญัติงบประมาณ อบจ. ปี 2568 และ อบจ. กำแพงเพชร บึงกาฬ เลย และสมุทรสาคร ที่ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้  ส่วนจังหวัดที่ตั้งงบประมาณเลือกตั้ง เรียงตามลำดับคือ นครราชสีมา 188,098,000 บาท สมุทรปราการ 153,000,000 บาท เชียงใหม่ 100,000,000บาท บุรีรัมย์ 98,780,000 บาท ขอนแก่น 92,000,000 บาท ชลบุรี 90,000,000 บาท ปทุมธานี 89,000,000 บาท นนทบุรี 82,500,000 บาท อุดรธานี 81,800,000 บาท พระนครศรีอยุธยา 79,500,000 บาท
          เลือกสองครั้งทำเปลืองงบ
          ในกรณีของจังหวัดที่มีการเลือกตั้งนายก อบจ. ไปก่อนหน้าและยังต้องจัดการเลือกตั้ง ส.อบจ. อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. 2568 ก็อาจจะต้องใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งมากกว่าการใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งครั้งเดียว และหากจังหวัดใดมีการเลือกตั้งมากกว่า 2 รอบ เช่น ปทุมธานี ที่เลือกตั้ง นายก อบจ. ถึง 2 รอบในหนึ่งปี และยังจะต้องจัดการเลือกตั้ง ส.อบจ. อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. 2568 พบว่า ในปี 2567 ซึ่งมีการเลือกตั้งใหม่ถึง 2 ครั้ง มีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 79,000,000 บาท ส่วนในวันที่ 1 ก.พ. 2568 ปทุมธานีก็ยังต้องมีการจัดการเลือกตั้ง ส.อบจ. อยู่ ก็มีการตั้งงบประมาณไว้ 89,000,000 บาท จะเห็นว่าการเลือกตั้งที่ไม่พร้อมกันหรือการลาออกก่อนหมดวาระที่ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ จะต้องใช้งบประมาณในการจัดการเลือกตั้งมากขึ้นไปอีก โดยหากงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอก็อาจจะต้องใช้เงินจากงบประมาณสะสม
          นักวิชาการแนะวิธีดัดหลัง
          นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า  การที่นายก อบจ. บางจังหวัดชิงลาออกก่อน ก่อให้เกิดปัญหา อาทิ เรื่องงบประมาณ เพราะต้องจัดการเลือกตั้งสองครั้งโดยไม่มีความจำเป็น  เช่น จ.อุบลราชธานี ที่เพิ่งจัดการเลือกตั้งนายก อบจ. ไปเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2567 เมื่อถึงวันที่ 1 ก.พ. 2568 ระยะเวลาห่างจากกันเพียงเดือนเศษ ๆ ก็ต้องจัดการเลือกตั้ง ส.อบจ. อีกรอบ  เมื่อเลือกตั้งแยกจากการที่นายก อบจ. ชิงลาออกก่อน จะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิน้อยลงเพราะต้องไปเลือกตั้งหลายรอบ อาจจะทำให้ไม่อยากไปอีก
          "ต้องแก้กฎหมาย กำหนดวาระของนายก อบจ. และ ส.อบจ. ให้เหมือนกัน โดยเอาแนววาระการดำรงตำแหน่งของ ส.อบจ.  คือถ้านายก อบจ. ลาออกก่อนครบวาระ คนที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่จะอยู่ได้จนแค่ครบวาระ 4 ปีตามระยะเวลาในแบบ ส.อบจ. หรือลาออกในช่วง 6 เดือนสุดท้าย ก็อาจจะไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ก็ได้ตามที่กฎหมายเขียนเอาไว้เหมือน ส.อบจ. การแก้กฎหมายเป็นแบบนี้จะทำให้คนที่จะชิงลาออกก่อนน้อยลง หรือจัดเลือกตั้งด้วยเครื่องมืออื่น ที่ไม่จำเป็นจะต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเข้าคูหาเท่านั้น หรือการเลือกตั้งนอกเขต อาจเป็น กกต. เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง เหมือนการเลือกตั้งระดับชาติ ซึ่งจัดเลือกตั้งล่วงหน้าและนอกเขตได้ เหมือนการเลือกตั้ง สส."นายสติธร กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2566

ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันและเวลาการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง

 




ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวัน และเวลายื่นคำขอลงทะเบียนใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง ๒๒ มี.ค. ๒๕๖๖

 


ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ

 


วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2566

กำชับท้องถิ่นเป็นกลาง 'ชพก.'ยังติดใจแบ่งเขต

 

กำชับท้องถิ่นเป็นกลาง 'ชพก.'ยังติดใจแบ่งเขต 
ไทยโพสต์  ฉบับวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๖
          ไทยโพสต์ * ปลัด มท.ระบุมอบนโยบายผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ต้องวางตัวเป็นกลาง เวลาราชการห้ามโผล่ไปเชียร์พรรคไหน ยัน มหาดไทยพร้อมช่วย กกต.จัดเลือกตั้งเรียบ ร้อยบริสุทธิ์ยุติธรรม "อรรถวิชช์" ร้อง กทม.แบ่งเขตแบบ 1-2 พิสดารหวังล็อกผลเลือกตั้ง
          เมื่อวันที่ 12 มี.ค. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) เปิดเผยถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ว่า ได้มอบนโยบายและแนวทางให้ข้าราช การในสังกัดกระทรวงมหาดไทยได้ปฏิบัติแล้ว โดยการเลือกตั้งนั้นเป็นหน้าที่ของสำนัก งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่วน ในแง่ของข้าราชการใน มท. ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ได้รับนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว ซึ่งมีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ข้าราชการ มท.ทุกคนต้องวางตัวเป็นกลาง และให้ชี้แจงกับพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้บริหาร อปท. ว่าในเวลาราชการห้ามไปสนับสนุนช่วยเหลือพรรค การเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง
          "นอกเหนือเวลาราชการ ผู้บริหาร อปท. หรือนักการเมืองท้องถิ่นสามารถไปเชียร์กันได้ เหมือนข้า ราชการพลเรือน ข้าราชการทหารตำรวจ ที่ต้องเป็นกลางตลอดเวลา อีกส่วนที่พวกเราทำมาตลอด คือให้ความร่วมมือกับ กกต.ในการบริหารจัดการช่วยเหลือ หรือช่วยเหลือการจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่ง มท.ก็ช่วยในการพิมพ์รายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสนับสนุนเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการที่ทำ ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามที่ กกต.ร้องขอมา ซึ่ง มท.เต็มที่ในเรื่องของการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติ ธรรม" นายสุทธิพงษ์ระบุ
          ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพมหานคร 4 รูปแบบ ที่กำลังจะหมดเขตรับฟังความเห็นประชาชนวันที่ 13 มี.ค. ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของ กกต.ภายในสัปดาห์นี้ ว่าการแบ่งเขตที่ กกต.กทม. นำเสนอมา 4 รูปแบบ พบว่ารูปแบบที่ 1 และ 2 เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขัดมาตรา 27 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ให้รวมอำเภอต่างๆ เป็นเขตเลือกตั้ง และการเคยอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกันเป็นเรื่องหลักในการแบ่งเขต แต่การแบ่งเขตรูปแบบที่ 1 และ 2 กลับใช้วิธีรวมตำบล (แขวง) ต่างๆ มาประกอบเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ โดยเขตเลือกตั้ง กทม. ทั้งหมด  33 เขต รูปแบบที่ 1 มีการแบ่งแขวงต่างๆ มาเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ถึง 27 เขต รูปแบบที่ 2 มีการรวมแขวงต่างๆ มาเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ถึง 30 เขต และรูปแบบที่ 1 มีเขตที่เคยเป็นเขตเลือกตั้งมาก่อนเพียง 4 เขต รูปแบบที่ 2 มีเขตที่เคยเป็นเขตเลือกตั้งเพียง 2 เขตเท่านั้น
          "การแบ่งเขตรูปแบบที่ 1 และ 2 นอกจากผิดกฎหมายชัด เจนแล้ว ยังสร้างความสับสนให้ประชาชนที่คุ้นเคยกับเขตเลือกตั้งเดิม เขาไม่ได้เลือกผู้แทนของเขตเลือกตั้งเดิมเคยทำงานในพื้นที่มา ขณะที่รูปแบบที่ 3 และ 4 เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายมากที่สุด เพราะมีเขตเลือกตั้งที่ถูกแยกแขวงเพียง 8 เขต โดยเฉพาะรูปแบบที่ 3 มีเขตที่เคยเป็นเขตเลือกตั้งเดิมที่คุ้นเคยมาก่อนถึง 17 เขตเลือกตั้ง" นายอรรถวิชช์กล่าว
          นายอรรถวิชช์กล่าวว่า การรวมแขวงจากเขตต่างๆ มาเป็นเขต เลือกตั้งใหม่ เป็นหลักการพิสดาร นอกจากไม่สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ยังพบรูปร่างของเขตที่พยายามคดเข้าไปรวมบางแขวงที่ไม่เข้ากัน มีรูปร่างประหลาด ซึ่งหลักวิชาการเรียกการแบ่งเขตที่รูปร่างคล้ายตัวซาลาแมนเดอร์เป็นการแบ่งเขตเพื่อความได้เปรียบ-เสียเปรียบ แบ่งเขตเพื่อกำหนดผลการเลือกตั้งไว้แล้ว
          "ขอให้ กกต.ที่กำลังจะพิจารณา เคาะเขต ยึดกฎหมายประกอบรัฐ ธรรมนูญเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อการเลือกตั้งในภายหลัง หากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย จะกระทบต่อการเลือกตั้ง" นายอรรถวิชช์ระบุ.