กำชับท้องถิ่นเป็นกลาง 'ชพก.'ยังติดใจแบ่งเขต |
ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๖ |
ไทยโพสต์ * ปลัด มท.ระบุมอบนโยบายผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ต้องวางตัวเป็นกลาง เวลาราชการห้ามโผล่ไปเชียร์พรรคไหน ยัน มหาดไทยพร้อมช่วย กกต.จัดเลือกตั้งเรียบ ร้อยบริสุทธิ์ยุติธรรม "อรรถวิชช์" ร้อง กทม.แบ่งเขตแบบ 1-2 พิสดารหวังล็อกผลเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 12 มี.ค. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) เปิดเผยถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ว่า ได้มอบนโยบายและแนวทางให้ข้าราช การในสังกัดกระทรวงมหาดไทยได้ปฏิบัติแล้ว โดยการเลือกตั้งนั้นเป็นหน้าที่ของสำนัก งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่วน ในแง่ของข้าราชการใน มท. ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ได้รับนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว ซึ่งมีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ข้าราชการ มท.ทุกคนต้องวางตัวเป็นกลาง และให้ชี้แจงกับพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้บริหาร อปท. ว่าในเวลาราชการห้ามไปสนับสนุนช่วยเหลือพรรค การเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง "นอกเหนือเวลาราชการ ผู้บริหาร อปท. หรือนักการเมืองท้องถิ่นสามารถไปเชียร์กันได้ เหมือนข้า ราชการพลเรือน ข้าราชการทหารตำรวจ ที่ต้องเป็นกลางตลอดเวลา อีกส่วนที่พวกเราทำมาตลอด คือให้ความร่วมมือกับ กกต.ในการบริหารจัดการช่วยเหลือ หรือช่วยเหลือการจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่ง มท.ก็ช่วยในการพิมพ์รายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสนับสนุนเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการที่ทำ ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามที่ กกต.ร้องขอมา ซึ่ง มท.เต็มที่ในเรื่องของการสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติ ธรรม" นายสุทธิพงษ์ระบุ ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพมหานคร 4 รูปแบบ ที่กำลังจะหมดเขตรับฟังความเห็นประชาชนวันที่ 13 มี.ค. ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของ กกต.ภายในสัปดาห์นี้ ว่าการแบ่งเขตที่ กกต.กทม. นำเสนอมา 4 รูปแบบ พบว่ารูปแบบที่ 1 และ 2 เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขัดมาตรา 27 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ให้รวมอำเภอต่างๆ เป็นเขตเลือกตั้ง และการเคยอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกันเป็นเรื่องหลักในการแบ่งเขต แต่การแบ่งเขตรูปแบบที่ 1 และ 2 กลับใช้วิธีรวมตำบล (แขวง) ต่างๆ มาประกอบเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ โดยเขตเลือกตั้ง กทม. ทั้งหมด 33 เขต รูปแบบที่ 1 มีการแบ่งแขวงต่างๆ มาเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ถึง 27 เขต รูปแบบที่ 2 มีการรวมแขวงต่างๆ มาเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ถึง 30 เขต และรูปแบบที่ 1 มีเขตที่เคยเป็นเขตเลือกตั้งมาก่อนเพียง 4 เขต รูปแบบที่ 2 มีเขตที่เคยเป็นเขตเลือกตั้งเพียง 2 เขตเท่านั้น "การแบ่งเขตรูปแบบที่ 1 และ 2 นอกจากผิดกฎหมายชัด เจนแล้ว ยังสร้างความสับสนให้ประชาชนที่คุ้นเคยกับเขตเลือกตั้งเดิม เขาไม่ได้เลือกผู้แทนของเขตเลือกตั้งเดิมเคยทำงานในพื้นที่มา ขณะที่รูปแบบที่ 3 และ 4 เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับกฎหมายมากที่สุด เพราะมีเขตเลือกตั้งที่ถูกแยกแขวงเพียง 8 เขต โดยเฉพาะรูปแบบที่ 3 มีเขตที่เคยเป็นเขตเลือกตั้งเดิมที่คุ้นเคยมาก่อนถึง 17 เขตเลือกตั้ง" นายอรรถวิชช์กล่าว นายอรรถวิชช์กล่าวว่า การรวมแขวงจากเขตต่างๆ มาเป็นเขต เลือกตั้งใหม่ เป็นหลักการพิสดาร นอกจากไม่สอดคล้องกับกฎหมายแล้ว ยังพบรูปร่างของเขตที่พยายามคดเข้าไปรวมบางแขวงที่ไม่เข้ากัน มีรูปร่างประหลาด ซึ่งหลักวิชาการเรียกการแบ่งเขตที่รูปร่างคล้ายตัวซาลาแมนเดอร์เป็นการแบ่งเขตเพื่อความได้เปรียบ-เสียเปรียบ แบ่งเขตเพื่อกำหนดผลการเลือกตั้งไว้แล้ว "ขอให้ กกต.ที่กำลังจะพิจารณา เคาะเขต ยึดกฎหมายประกอบรัฐ ธรรมนูญเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อการเลือกตั้งในภายหลัง หากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย จะกระทบต่อการเลือกตั้ง" นายอรรถวิชช์ระบุ. |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น