วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หนังสือโอนสิทธิการรับเงินของผู้รับเหมาต้องจ่าย

เรื่องย่อ 

ผู้ฟ้องคดีฟ้องเรียกเงินค่าจ้างทำงานจาก อบจ. เนื่องจาก ผู้ฟ้องคดี ได้รับจ้างทำการก่อสร้างอาคารสำนักงานของ อบจ. และต่อมา อบจ.ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาอีกรายทำการตกแต่งภายใน และจัดหาเฟอร์นิเจอร์ แต่บริษัทดังกล่าวไม่มีเงินทุนพอ จึงตกลงให้บริษัทของผู้ฟ้องเป็นผู้ออกทุนให้ และทำหนังสือโอนสิทธิการรับเงินให้ผู้ฟ้องคดี ต่อมาบริษัทที่ทำหนังสือโอนสิทธิ์การรับเงิน ได้ทำหนังสือแจ้ง อบจ.ขอยกเลิกการโอนสิทธิ์การรับเงิน และขอรับเงินค่าจ้างเอง ซึ่ง อบจ. ก็จ่ายตามนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องเรียกเงินค้าจ้างพร้อมดอกเบี้ย

ศาลชั้นต้นและศาลปกครองสุงสุด ตัดสิน ให้ อบจ.ต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้กับผู้ฟ้องคดี พร้อมดอกเบี้ย
--------------------------------------------------------------------------------------------------- 
                                              คดีหมายเลขดำที่  อ. ๘๔๕/๒๕๕๑
                                                                             คดีหมายเลขแดงที่  อ. ๔๒๑/๒๕๒ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลปกครองสูงสุด
     วันที่      ๓๐      เดือน ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๕๒

                                      บริษัท มาร์โบว์ ๓๐๐๐๓ จำกัด (มหาชน)                  ผู้ฟ้องคดี
ระหว่าง

                                          กระทรวงมหาดไทย  ที่ ๑ 

                                         กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น  ที่ ๒

                                    จังหวัดยะลา  ที่ ๓
                                    องค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา  ที่ ๔
                                    นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา (นายอาซีส  เบ็ญหาวัน)  ที่ ๕
                                    ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา (นายราชพร  ทีปรัตนะ)  ที่ ๖
                                    หัวหน้าหน่วยการคลังองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา
                                    (นางสาวนฤภร  ศรีสวัสดิ์)  ที่ ๗                           ผู้ถูกฟ้องคดี

                                              
เรื่อง    คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (อุทธรณ์คำพิพากษา)


        ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ๖๒/๒๕๔๘ หมายเลขแดงที่ ๑๗๘/๒๕๕๑ ของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองสงขลา)คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัด (มหาชน) ก่อนจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดมหาชน ผู้ฟ้องคดีจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดใช้ชื่อว่า บริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้ทำสัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำงานก่อสร้างอาคารสำนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จำนวน ๔ ชั้น ณ บริเวณถนนวงเวียน ๒–๓ ตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๕๖,๐๓๐,๐๐๐ บาท และเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้ทำสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ตกแต่งภายในอาคารสำนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ พร้อมจัดหาครุภัณฑ์ประจำห้องต่างๆ เป็นเงิน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท แต่เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไม่สามารถหาเงินทุนมาดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาได้ จึงเสนอให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ลงทุนในการก่อสร้างทั้งสองสัญญา โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จะโอนสิทธิเรียกร้องการรับชำระหนี้ค่าจ้าง
จากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จึงทำสัญญา
ฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ โอนสิทธิเรียกร้องในการรับชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารจำนวน ๕๖,๐๓๐,๐๐๐ บาท ที่มีอยู่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่ผู้เดียว
และห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖
โอนสิทธิเรียกร้องในการรับชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งภายในอาคารจำนวน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท
ที่มีอยู่กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่เพียงผู้เดียว หลังจากทำสัญญาโอนสิทธิ
เรียกร้องกันดังกล่าวแล้ว ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับผู้ฟ้องคดี ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ทราบ ตามหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ และฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้รับทราบเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวแล้วมิได้คัดค้านหรือทักท้วง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้มีหนังสือตอบรับทราบเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมายังผู้ฟ้องคดีตามหนังสือฉบับลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ และลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ การโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับผู้ฟ้องคดี จึงมีผลผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ตามกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ต้องปฏิบัติตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องโดยต้องชำระเงินตามสัญญาจ้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้เข้าทำการก่อสร้างอาคารและตกแต่งภายในอาคารตามสัญญาทั้งสองฉบับ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในแต่ละงวด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ได้ชำระเงินค่าจ้างตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีตลอดมา แต่ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ แจ้งไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ว่าขอยกเลิกสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารที่มีอยู่กับผู้ฟ้องคดี และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารส่วนที่เหลือให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หลังจากนั้น ในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ได้มีคำสั่งอนุมัติให้ชำระเงินตามสัญญาก่อสร้างอาคารตั้งแต่งวดที่ ๑๔ ถึงงวดที่ ๑๖ ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นเงิน ๑๖,๔๐๗,๕๙๙.๕๕ บาท และห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๗ แจ้งไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ว่าขอยกเลิกสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารที่มีอยู่กับผู้ฟ้องคดี โดยขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารส่วนที่เหลือให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ได้มีคำสั่งอนุมัติให้ชำระเงินตามสัญญาจ้างตกแต่งอาคารส่วนที่เหลือเป็นเงินจำนวน ๒,๒๔๘,๓๒๖.๐๖ บาท เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๗ และเป็นเงินอีกจำนวน ๓,๗๓๐,๒๒๓.๗๓ บาท เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ รวมเป็นเงิน ๕,๙๑๗,๐๗๙.๙๖ บาท (ที่ถูก คือ ๕,๙๗๘,๕๔๙.๗๙ บาท) ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และหนังสือของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ มท ๐๓๑๓.๔/ว ๓๖๓๒ ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๑ ที่กำหนดหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจ่ายเงินกรณีโอนสิทธิเรียกร้องไว้ว่าในการจ่ายเงินเมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นไม่ว่าจ่ายครั้งเดียวหรือจ่ายหลายครั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายเงินให้แก่ผู้รับโอนสิทธิโดยตรงเท่านั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ เป็นเจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมต้องทราบระเบียบและข้อบังคับดังกล่าวดีอยู่แล้ว แต่กลับชำระเงินค่าจ้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ซึ่งไม่มีสิทธิรับเงิน หรือหากกรณีเกิดความสงสัยตามหนังสือแจ้งยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ
ก็สมควรที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือมีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีให้ชี้แจงข้อเท็จจริงก่อนการชำระเงิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย โดยไม่ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเป็นเงินจำนวน ๒๒,๓๒๔,๖๗๙.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จนถึงวันฟ้อง ดังนี้ ต้นเงินจำนวน ๑๖,๔๐๗,๕๙๙.๕๕ บาท คำนวณตั้งแต่วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๑,๑๙๖,๓๘๗ บาท ต้นเงินจำนวน ๒,๒๔๘,๓๒๖.๐๖ บาท คำนวณตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๑๖๓,๙๔๐ บาท ต้นเงินจำนวน ๓,๗๓๐,๒๒๓.๗๓ บาท คำนวณตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้อง เป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน ๒๓๓,๑๓๙ บาท รวมเป็นเงินดอกเบี้ยทั้งหมดจำนวน ๑,๕๙๓,๔๖๖ บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน ๒๓,๙๗๙,๖๑๔ บาท นอกจากนั้น ผู้ฟ้องคดียังได้รับความเสียหายอื่นเพราะเหตุไม่ได้รับชำระหนี้ตามกำหนดเวลาที่ควรจะได้รับ ทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงต้องกู้ยืมเงินและจำหน่ายทรัพย์สินไปในทางที่เสียประโยชน์ ได้แก่ การขายที่ดินจำนวน ๑๒ ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี และมีราคาประเมินรวม ๔๒ ล้านบาท ไปในราคาเพียง ๑๑ ล้านบาท เนื่องจากผู้ฟ้องคดีต้องการใช้เงินเร่งด่วน ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผู้ฟ้องคดีต้องกู้ยืมเงินจากบุคคลภายนอก จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้องคดีเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายทั้งหมดเป็นเงิน ๕๗,๙๗๙,๖๑๔ บาท เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าวต่อผู้ฟ้องคดี
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเจ็ดร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๕๗,๙๗๙,๖๑๔ บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๒,๓๘๖,๑๔๙.๓๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และการแสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพียงรายเดียว เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงมิได้หมายเรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ทำคำให้การยื่นต่อศาล โดยได้ส่งสำเนาคำฟ้องไปให้เฉพาะผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพื่อทำคำให้การผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองและศาลปกครองไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีบรรยายฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี แต่เมื่อพิจารณามูลเหตุแห่งคดีแล้ว กรณีไม่ใช่เรื่องการกระทำละเมิด แต่เป็นเรื่องผิดสัญญา ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทราบแล้ว  ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงต้องชำระค่าจ้างให้แก่ผู้ฟ้องคดี แต่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระค่าจ้างบางส่วนให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องเรียกเงินส่วนนั้นและค่าเสียหายอื่นที่อ้างว่าเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งเป็นการฟ้องฐานผิดสัญญาการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นข้อเท็จจริงเดียวกับที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ และนางสาวณฐัญญา น้าวประจุล หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๖๒/๒๕๔๗ โดยผู้ฟ้องคดีได้ระบุในคำฟ้องดังกล่าวว่าเป็นการฟ้องในข้อหาหรือฐานความผิด “โอนสิทธิเรียกร้อง ผิดสัญญาจ้าง” ซึ่งศาลจังหวัดสงขลาได้ประทับรับฟ้องและจำเลยได้ยื่นคำให้การแล้ว คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดสงขลา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๕๖๒/๒๕๔๗ ของศาลจังหวัดสงขลาเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน อันเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง  ดังนั้น การที่ศาลจังหวัดสงขลาได้รับฟ้องของผู้ฟ้องคดีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๕๖๒/๒๕๔๗ นั้น จึงชอบแล้ว ผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองอีก นอกจากนั้น ผู้ฟ้องคดีได้อาศัยข้อเท็จจริงเดียวกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟ้องนายราชพร ทีปรัตนะ (ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ในคดีนี้) ที่ ๑ นางสาวนฤภร ศรีสวัสดิ์
(ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ในคดีนี้) ที่ ๒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ที่ ๓ และนางสาวณฐัญญา น้าวประจุล ที่ ๔ เป็นจำเลยในคดีอาญา ในข้อหาหรือฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตต่อศาลจังหวัดยะลา ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๒๖–๒๒๗/๒๕๔๘ ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๔๐ และมาตรา ๔๖ ผู้ฟ้องคดีจะต้องฟ้องคดีต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญาหรือต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่ง ซึ่งก็คือศาลจังหวัดยะลาหรือศาลจังหวัดสงขลาเท่านั้น และในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา  ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง อย่างไรก็ตามหากจะพิจารณาว่าการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องว่าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อเอกชนตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างแล้ว ผู้ฟ้องคดีก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพราะกรณีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชอบที่จะยื่นคำขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้ยื่นคำขอดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ดำเนินการตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒  ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้ทำสัญญาจ้างกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ตามสัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ และตามสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระค่าจ้างตามสัญญาทั้งสองฉบับครบถ้วนแล้ว ตามสำเนาฎีกาเบิกเงิน ใบเสร็จรับเงิน และเอกสารที่เกี่ยวข้องท้ายคำให้การ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่รับรองว่าผู้ฟ้องคดีกับบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด จะเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ แต่สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด เป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางที่ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมที่แท้จริงระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งก็คือสัญญากิจการร่วมค้าที่ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาต่อกัน ตามสัญญาดังกล่าวคู่สัญญามีวัตถุประสงค์ในการร่วมค้า คือ จะร่วมประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง โดยผู้ฟ้องคดีจะรับผิดชอบทำหน้าที่ควบคุมต้นทุน การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ สนับสนุนทางด้านการเงิน ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จะรับผิดชอบเป็นผู้ปฏิบัติงานจัดหาช่าง คนงาน เพื่อทำการงานให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงแบ่งปันผลกำไรอันเกิดจากการร่วมค้า  ดังนั้น สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด จึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย อีกทั้ง ปรากฏข้อเท็จจริงว่าแม้ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จะได้โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างให้แก่บริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด แล้ว แต่ในการรับเงินค่าจ้างทุกครั้ง ผู้ฟ้องคดีได้มอบอำนาจให้นางวันดี พูลศิริ หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นผู้รับเงินจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ด้วย  ดังนั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้างทั้งสองฉบับครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะชำระให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ก็ถือว่าได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว หนี้ย่อมระงับ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ใดๆ อีก ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าไม่ได้รับเงินค่าจ้างดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีต้องไปเรียกร้องเอากับ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ตามสัญญาร่วมค้าต่อไป นอกจากนั้น หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะผู้ลงนามฝ่ายผู้รับโอนไม่มีอำนาจจัดการแทนบริษัทผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจถือเอาประโยชน์แห่งสัญญาเรียกร้องดังกล่าวได้และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ มิได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด  ดังนั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ครบถ้วนแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ย่อมยกข้อต่อสู้ดังกล่าวต่อสู้ผู้ฟ้องคดีได้ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยใดๆ ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนค่าเสียหายอันเกิดจากการขายที่ดินในราคาที่ลดลงเป็นเงิน ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายจากการกู้ยืมเงินบุคคลภายนอกโดยต้องเสียดอกเบี้ยจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวแม้หากจะเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เกิดจากการกระทำหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ยื่นคำร้องโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้กับข้อเท็จจริงในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๕๖๒/๒๕๔๗ ของศาลจังหวัดสงขลา เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน และเป็นเรื่องผิดสัญญาการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง และไม่ใช่กรณีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อเอกชน คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลจังหวัดสงขลา ขอให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ และมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลจังหวัดสงขลาศาลปกครองชั้นต้นจึงรอการพิจารณาไว้เป็นการชั่วคราวและทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลส่งไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม โดยเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำนักงาน
ศาลยุติธรรมได้ส่งความเห็นดังกล่าวไปยังศาลจังหวัดสงขลาเพื่อทำความเห็นเกี่ยวกับ
อำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาด
อำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒  ต่อมา ศาลจังหวัดสงขลาทำความเห็นส่งมายัง
ศาลปกครองชั้นต้น โดยมีความเห็นพ้องกับศาลปกครองช้นต้นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลปกครองชั้นต้น
จึงดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไป
        ผู้ฟ้องคดีคัดค้านคำให้การว่า กรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กล่าวอ้างว่าผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำสัญญาในลักษณะเข้าเป็นหุ้นส่วนกิจการร่วมค้าและการทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น ผู้ฟ้องคดีเคยดำเนินกิจการในลักษณะกิจการร่วมค้ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจเพียงโครงการเดียว คือ โครงการที่ทำสัญญากับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เพื่อรับจ้างก่อสร้างตลาดนัดชายแดนไทย–มาเลเซีย โดยในการทำสัญญาดังกล่าวจะทำในนามของกิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้ง หาดใหญ่ประมวลกิจ ในฐานะผู้รับจ้าง แต่สัญญาระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทั้งสองสัญญาในคดีนี้มิได้มีลักษณะเป็นกิจการร่วมค้า หากแต่เป็นโครงการที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นผู้รับจ้างในการก่อสร้าง แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไม่มีทุนเพียงพอที่จะใช้ในการก่อสร้าง จึงขอให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ในการก่อสร้างและตกแต่งอาคาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จึงได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทั้งสองสัญญา ให้แก่ผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ จ่ายเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ และนางวันดี พูลศิริ จึงเป็นการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง มูลหนี้ของผู้ฟ้องคดีจึงหาระงับไปไม่ สำหรับวิธีปฏิบัติในการรับชำระเงินที่ผู้ฟ้องคดีมอบอำนาจให้นางวันดี เป็นผู้รับเงินแทนนั้น ในการรับเงินงวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๑๓ ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ ผู้ฟ้องคดีมอบอำนาจให้นางวันดีเป็นผู้รับเงินแทน แต่การชำระเงินค่าจ้างในงวดที่ ๑๔ ถึงงวดที่ ๑๖ จำนวน ๑๖,๔๐๗,๕๙๙.๕๕ บาท ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จ่ายให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไปนั้น ผู้ฟ้องคดีไม่ได้มอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หรือผู้ใดไปรับเงินแทน และในการรับเงินงวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๗ ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีมอบอำนาจให้นางวันดีเป็นผู้รับเงินแทน ส่วนการชำระเงินงวดที่ ๘ ถึงงวดที่ ๑๐ จำนวน ๕,๙๑๗,๐๗๙.๙๖ บาท ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จ่ายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ นั้น ผู้ฟ้องคดีไม่ได้มอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หรือผู้ใดไปรับเงินแทน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ กลับจ่ายเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไปโดยฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่กำหนดให้จ่ายเงินแก่ผู้รับโอนสิทธิเท่านั้น โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ได้สมคบกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ และนางวันดี อ้างข้อความอันเป็นเท็จเพื่อยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีและหลีกเลี่ยงระเบียบแบบแผนของทางราชการในการจ่ายเงินค่าจ้างดังกล่าว โดยการจัดทำหนังสือลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ และหนังสือลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๗ ขอยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องการรับชำระเงินตามสัญญาจ้างทั้งสองสัญญา และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ อาศัยข้อความในหนังสือดังกล่าวอนุมัติการขอยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้อง โดยมิได้สอบถามผู้ฟ้องคดีหรือตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเหตุผลที่กล่าวอ้างในหนังสือดังกล่าวจากผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีได้ร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเพื่อให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ตามหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ จังหวัดยะลาโดยท้องถิ่นจังหวัดยะลาจึงได้มีหนังสือ ที่ มท ๐๘๖๑.๔/๐๒๘ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๘ หารือไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีหนังสือ ที่ มท ๐๘๐๘.๔/๑๗๘๖ ลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ตอบข้อหารือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ไม่สามารถยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้ นอกจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อสอบสวนเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดี ต่อมา คณะกรรมการงานกฎหมายระเบียบ
และเรื่องราวร้องทุกข์ได้สรุปผลการสอบสวนตามบันทึกลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีความบกพร่อง ไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายหรือมีเจตนาที่จะทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ควรตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาได้มีหนังสือ ที่ มท ๐๘๖๑.๔/๒๕๒ ลงวันที่ ๒๗ กรกฏาคม ๒๕๔๗ แจ้งผลการสอบสวนดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทราบ การดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ไม่เป็นไปตามวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินกรณีโอนสิทธิเรียกร้องของกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง ผู้ฟ้องคดีจึงได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ และนางวันดี เป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดยะลา ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ซึ่งศาลจังหวัดยะลามีคำสั่งว่าคดีมีมูลและประทับรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว  ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การว่า การโอนสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะผู้ฟ้องคดีลงนามโดยไม่มีอำนาจนั้น เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า การโอนสิทธิเรียกร้องที่จะพึงชำระต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือท่านว่าไม่สมบูรณ์ ซึ่งตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว หมายความว่า ทั้งผู้โอนและผู้รับโอนจะต้องทำข้อตกลงการโอนสิทธิเรียกร้องกันเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนการลงนามในหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ผู้โอนจะต้องลงนามในหนังสือเป็นสำคัญโดยทางฝ่ายผู้รับโอนจะลงนามหรือไม่ก็ได้ สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องย่อมมีผลสมบูรณ์ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๑๓๙/๒๕๓๒ เมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ได้ทำเป็นหนังสือถูกต้องสมบูรณ์แล้ว จึงมีผลบังคับตามกฎหมาย อีกทั้ง กรรมการของผู้ฟ้องคดีได้ลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องทั้งสองฉบับครบถ้วนตามระเบียบแล้ว เพราะเดิมในขณะทำสัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ นั้น ผู้ฟ้องคดีจดทะเบียนนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ใช้ชื่อว่าบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด ระบุอำนาจกรรมการไว้ว่ากรรมการคนหนึ่งลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทมีอำนาจทำการแทนบริษัทได้ ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้จดทะเบียนเปลี่ยนฐานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท มาร์โบว์ ๓๐๐๐๓ จำกัด (มหาชน) ดังนั้น บริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท มาร์โบว์ ๓๐๐๐๓ จำกัด (มหาชน) จึงเป็นบุคคลเดียวกัน การลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของบริษัทผู้ฟ้องคดีแล้ว สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว
จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย นอกจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ให้ความยินยอมเกี่ยวกับการโอนสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีเป็นหนังสือแจ้งมายังผู้ฟ้องคดีแล้วทั้งสองสัญญา และมิได้คัดค้านการโอนสิทธิ ทั้งยังได้ชำระเงินตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องแก่ผู้ฟ้องคดีตามสัญญาก่อสร้างอาคาร (สัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕) ตั้งแต่งวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๑๓ และตามสัญญาจ้างตกแต่งอาคาร (สัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗) ตั้งแต่งวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๗ ด้วยดีตลอดมา การโอนสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย สำหรับข้อโต้แย้งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เกี่ยวกับประเด็นความเสียหายนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับเงินครบถ้วนตามสัญญา ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจริง เพราะในการดำเนินการก่อสร้างและตกแต่งอาคารกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทั้งสองสัญญา ผู้ฟ้องคดีจะต้องเป็นผู้จ่ายเงินค่าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ตกแต่ง ค่าแรงให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เมื่องานเสร็จในแต่ละงวดผู้ฟ้องคดีจึงจะมีสิทธิได้รับเงินจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทั้งนี้ ในการหาเงินมาเป็นทุนให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีต้องอาศัยเครดิตของผู้ฟ้องคดีในการกู้เงินจากบุคคลภายนอก รวมถึงการสั่งซื้อสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ จากบุคคลภายนอกมาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไปดำเนินการก่อสร้างและตกแต่งให้เป็นไปตามสัญญา แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับเงินตามสัญญา จึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ผู้ฟ้องคดีตกเป็นผู้ผิดสัญญาต่อเจ้าหนี้บุคคลภายนอกและถูกดำเนินคดี ผู้ฟ้องคดีจึงต้องนำที่ดินจำนวน ๑๒ ไร่ ซึ่งมีราคา ๔๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ออกขายแก่บุคคลภายนอก ในราคาต่ำเพียง ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจะได้นำเงินไปชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก โดยที่ดินดังกล่าวเป็นของบิดานายพิชัย บุญสม กรรมการและผู้ถือหุ้นของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีต้องขายที่ดินดังกล่าวไปในราคาต่ำกว่าท้องตลาดจึงเป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามฟ้องด้วย
        ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้การเพิ่มเติมว่า กรณีที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องไม่ใช่นิติกรรมอำพรางนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำหนังสือสัญญากิจการร่วมค้ากันเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ โดยสัญญาดังกล่าว ข้อ ๔ กำหนดวัตถุประสงค์ว่าจะร่วมกันประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง ข้อ ๕ ได้ตกลงแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไว้ชัดเจน ข้อ ๗ กำหนดว่า สัญญาร่วมค้าจะสิ้นสุดลงในกรณีใดบ้าง และข้อ ๘ กำหนดการแบ่งทรัพย์สินเมื่อสัญญาสิ้นสุด ซึ่งเมื่อพิจารณาว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ตามสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ซึ่งเป็นมูลเหตุของคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๖ อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญากิจการร่วมค้ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ และสัญญาดังกล่าวยังมีผลบังคับอยู่ และยังไม่ปรากฏว่ามีเหตุที่จะทำให้สัญญาสิ้นสุด ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ แล้ว สิทธิและหน้าที่อันเกิดจากสัญญาจ้างเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ดังกล่าวย่อมตกอยู่ใต้บังคับของสัญญากิจการร่วมค้า แม้ว่าในสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ไม่ได้ระบุว่าได้ทำในนามของกิจการร่วมค้าก็ตาม อีกทั้ง ในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องข้อ ๗ ยังกำหนดไว้ด้วยว่าการโอนสิทธิเรียกร้องนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อการที่บริษัทฯ ใช้สิทธิบังคับให้ผู้โอนสิทธิเรียกร้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาเงินกู้ ฯลฯ หรือสัญญาอื่นๆ ที่ผู้โอนสิทธิเรียกร้องให้ไว้ต่อบริษัทฯ ซึ่งคำว่า สัญญาอื่นๆ ย่อมหมายถึง สัญญากิจการร่วมค้าด้วย ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดเจนว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเป็นเพียงเจตนาลวงอันเป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการทางธุรกิจของผู้ฟ้องคดีเท่านั้น มิใช่เป็นนิติกรรมสัญญาตามเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณี ดังนั้น สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องจึงเป็นโมฆะ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ไปครบถ้วนแล้ว หนี้จึงระงับ ส่วนสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ย่อมเป็นไปตามสัญญากิจการร่วมค้า ซึ่งผู้ฟ้องคดีจะต้องไปว่ากล่าวเอากับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ต่อไป นอกจากนั้น หากจะพิจารณาถึงความสมบูรณ์ของสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวก็ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะฝ่ายผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้รับโอนมีผู้ลงนามเพียงผู้เดียว คือ นายพิชัย บุญสม ในขณะที่ตามหนังสือรับรองจะต้องลงนามสองคน ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้การโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำเป็นหนังสือซึ่งหมายความว่าจะต้องลงนามทั้งสองฝ่าย หากเป็นนิติบุคคลก็จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของนิติบุคคลนั้นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ จะเห็นว่า
ผู้ฟ้องคดีมิได้มีแต่เพียงสิทธิเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ตามสัญญาข้อ ๖ ด้วย ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีลงนามในสัญญาไม่ครบถ้วน จึงไม่ทำให้สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับ และที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีความเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ มีความบกพร่องไม่ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายนั้น ก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และความเห็นดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานการรับฟังข้อเท็จจริงว่า การโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับผู้ฟ้องคดีมีผลใช้บังคับได้ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ จึงไม่อาจนำมากล่าวอ้างได้  ส่วนการที่ศาลจังหวัดยะลามีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีอาญาที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ กับพวก เป็นจำเลยนั้น ไม่ได้แสดงว่าจำเลยกระทำความผิด เป็นแต่เพียงศาลรับคดีไว้พิจารณาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีอาญาอย่างไรก็ไม่มีผลผูกพันต่อการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการพิจารณาคดีปกครองจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา
        ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเฉพาะกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างที่พิพาททั้งสองฉบับ ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิฟ้องเฉพาะผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้รับผิดตามสัญญาได้เท่านั้น ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ มิได้เป็นคู่สัญญากับผู้ฟ้องคดี ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาที่พิพาททั้งสองฉบับกับผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ต่อศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
        สำหรับประเด็นที่ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กระทำผิดสัญญา และต้องชำระหนี้ค่าจ้างกับค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ฟ้องคดีตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทำสัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ก่อสร้างอาคาร เป็นเงิน ๕๖,๐๓๐,๐๐๐ บาท และทำสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ตกแต่งอาคาร เป็นเงิน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท ฉะนั้น เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำการก่อสร้างและตกแต่งอาคารตามสัญญาเสร็จ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีหนี้ค่าจ้างที่จะต้องชำระให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ และถือเป็นหนี้ที่จะพึงชำระให้แก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง และเมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ โอนสิทธิเรียกร้องการรับชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารจำนวน ๕๖,๐๓๐,๐๐๐ บาท และทำหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ โอนสิทธิเรียกร้องการรับชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคาร จำนวน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท ดังกล่าว ให้แก่ผู้ฟ้องคดี หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องทั้งสองฉบับจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ กับหนังสือลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ บอกกล่าวเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาทั้งสองฉบับไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซึ่งเป็นลูกหนี้ค่าจ้าง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้มีหนังสือ ที่ ยล ๕๑๐๐๔/๑๐๐๐ ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ กับหนังสือ ที่ ยล ๕๑๐๐๔/๒๗๙๘ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ แจ้งรับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไปยังผู้ฟ้องคดีแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีผลผูกพันให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ต้องชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างและค่าจ้างตกแต่งอาคารให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จะได้ให้ความยินยอมในการโอนนั้นด้วยหรือไม่ เพราะตามมาตรา ๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า ให้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนแต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อ้างว่าหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ที่โอนหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคาร จำนวน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท ตามสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะผู้ลงนามฝ่ายผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้รับโอนลงนามโดยไม่มีอำนาจนั้น เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดแต่เพียงว่าการโอนหนี้อันจะพึงชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ จะไม่สมบูรณ์ โดยกฎหมายมิได้กำหนดว่าหนังสือโอนหนี้หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจะต้องลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนด้วย ดังนั้น แม้หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ จะลงลายมือชื่อผู้โอน คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เพียงฝ่ายเดียว โดยฝ่ายผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้รับโอนมิได้ลงลายมือชื่อหรือลงลายมือชื่อไม่ครบหรือลงลายมือชื่อโดยบุคคลผู้ไม่มีอำนาจทำการแทนผู้ฟ้องคดี หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กรณีนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้  สำหรับกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อ้างว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพราง เพราะผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำสัญญากิจการร่วมค้าในการรับเหมาก่อสร้างตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ อันมีผลให้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย และเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ค่าจ้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ครบถ้วนแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงหลุดพ้นจาก
การชำระหนี้นั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีและห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากกัน แม้ผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จะได้ทำสัญญากิจการร่วมค้าตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ กันไว้ แต่ตามข้อ ๑ ของสัญญาดังกล่าวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงทำกิจการร่วมค้าภายใต้ชื่อ “กิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้ง หาดใหญ่ประมวลกิจ” และตามข้อ ๒ ระบุว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้นายพิชัย บุญสม และนางวันดี พูลศิริ เป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของทั้งสองฝ่ายในเอกสารต่างๆ ของสัญญาร่วมค้าและเอกสารทั้งปวงที่เกิดขึ้นในการดำเนินกิจการร่วมค้าในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุผลอันสมควร คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายอาจมอบอำนาจให้บุคคลใดหรือคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแทนกิจการร่วมค้าก็ได้ ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จะผูกพันกันตามสัญญากิจการร่วมค้าก็เฉพาะกิจการที่กระทำในนามของกิจการร่วมค้าเท่านั้น โดยกิจการหรือสัญญาต่างๆ ที่กระทำกับบุคคลภายนอกจะต้องระบุไว้ด้วยว่ากระทำในนามกิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้ง หาดใหญ่ประมวลกิจ และนายพิชัยต้องร่วมลงลายมือชื่อ รวมทั้งประทับตราของฝ่ายผู้ฟ้องคดีร่วมในสัญญาด้วย หากกิจการหรือสัญญาใดมิได้ระบุว่ากระทำในนามกิจการร่วมค้า และนายพิชัยไม่ได้ร่วมลงลายมือชื่อ รวมทั้งมิได้ประทับตราของผู้ฟ้องคดีร่วมด้วย หรือมิได้มีการมอบอำนาจให้อีกฝ่ายหนึ่งดำเนินการแทนแล้ว ต้องถือว่ากิจการหรือสัญญาที่ทำขึ้นนั้นกระทำในนามส่วนตัวของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารและสัญญาจ้างตกแต่งอาคารที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทำกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ มิได้ใช้ชื่อ “กิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้ง หาดใหญ่ประมวลกิจ” และนายพิชัยไม่ได้ร่วมลงลายมือชื่อ รวมทั้งมิได้ประทับตราสำคัญของฝ่ายผู้ฟ้องคดีในสัญญาดังกล่าว และผู้ฟ้องคดีมิได้มอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำสัญญากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ในลักษณะกิจการร่วมค้า จึงต้องถือว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างและตกแต่งอาคารกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ในฐานะส่วนตัวของ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เอง มิใช่กระทำในฐานะกิจการร่วมค้ากับผู้ฟ้องคดี การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ โอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างและตกแต่งอาคารดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดี จึงมิใช่เป็นการแสดงเจตนาลวง และมิใช่นิติกรรมอำพรางที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายดังที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กล่าวอ้าง อีกทั้ง ก่อนที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จะมีหนังสือแจ้งขอยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ก็ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างและค่าจ้างตกแต่งอาคารตามหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีตลอดมา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ มิได้โต้แย้งคัดค้าน ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลือให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หรือบุคคลอื่น หลังจากห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ บอกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แล้ว ย่อมไม่ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ หลุดพ้นจากการชำระหนี้ที่มีต่อผู้ฟ้องคดี ข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ในกรณีนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นเดียวกัน  เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ มีผลสมบูรณ์และผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ตามกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารและค่าจ้างตกแต่งอาคารให้แก่ผู้ฟ้องคดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่ ๑๔ ถึงงวดที่ ๑๖ เป็นเงินจำนวน ๑๖,๔๐๗,๕๙๙.๕๕ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี และไม่ชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารส่วนที่เหลือจำนวน ๕,๙๗๘,๕๔๙.๗๙ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี แต่ชำระเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือรับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ และฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่หลุดพ้นจากการชำระหนี้ และยังมีหน้าที่ต้องชำระเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าว เป็นเงินรวม ๒๒,๓๘๖,๑๔๙.๓๔ บาท แก่ผู้ฟ้องคดี  ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๖,๔๐๗,๕๙๙.๕๕ บาท ตั้งแต่วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้อง (วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๘) เป็นเงิน ๑,๑๙๖,๓๘๗ บาท ของต้นเงิน ๒,๒๔๘,๓๒๖.๐๖ บาท นับแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้อง (วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๘) เป็นเงิน ๑๖๓,๙๔๐ บาท และของต้นเงิน ๓,๗๓๐,๒๒๓.๗๓ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน ๒๓๓,๑๙๓ บาท นั้น เห็นว่า เงินค่าจ้างก่อสร้างและค่าตกแต่งอาคารดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากสัญญาจ้าง มิใช่หนี้ที่เกิดจากการกระทำละเมิด หนี้ดังกล่าวจึงถึงกำหนดชำระเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ตรวจ
รับงานที่จ้างจากห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ แล้ว หนี้ดังกล่าวจึงไม่ใช่หนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินที่หากลูกหนี้มิได้ชำระตามกำหนดแล้วจะตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิต้องเตือน ตามมาตรา ๒๐๔ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น หากหนี้ค่าจ้างก่อสร้างและตกแต่งอาคารดังกล่าวถึงกำหนดชำระแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ชำระให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีต้องแจ้งเตือนไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพื่อให้ชำระหนี้ภายในเวลากำหนดก่อน หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ชำระตามกำหนดเวลาที่เตือนไป ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ถึงจะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา ๒๐๔ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับคดีนี้หลังจากหนี้ค่าจ้างก่อสร้างและตกแต่งอาคาร จำนวน ๒๒,๓๘๖,๑๔๙.๓๔ บาท ถึงกำหนดชำระแล้วไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือเตือนไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ให้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดีภายในเวลาที่กำหนด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด และไม่ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฟ้องคดีในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ จนถึงวันฟ้อง แต่การที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดสงขลาตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๖๒/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระเงินดังกล่าว ถือว่าเป็นการเตือนให้ชำระหนี้แล้ว เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ชำระ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นวันฟ้องแพ่งดังกล่าวเป็นต้นไป และต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย โดยดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน ๒๒,๓๘๖,๑๔๙.๓๔ บาท คิดถึงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีนี้ เป็นเวลา ๒๖๐ วัน เป็นเงิน ๑,๑๙๕,๙๗๑.๔๐ บาท ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงต้องชำระเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแก่ผู้ฟ้องคดี รวมเป็นเงิน ๒๓,๕๘๒,๑๒๐.๗๔ บาท  สำหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ชำระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีขาดเงินทุนหมุนเวียนที่จะต้องนำไปใช้จ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จึงต้องนำที่ดิน จำนวน ๑๒ ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองปัตตานีและมีราคาประเมิน ๔๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ออกขายในราคาต่ำเพียง ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการขายที่ดินดังกล่าวเป็นเงิน ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าขายที่ดินดังกล่าวไปในราคา
๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งที่ที่ดินมีราคาประเมิน ๔๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท มิใช่ความเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่ชำระเงินค่าจ้างแก่ผู้ฟ้องคดีตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินจำนวน ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดังกล่าว แก่ผู้ฟ้องคดีส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการไปกู้ยืมเงินบุคคลภายนอกจำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต้องเสียดอกเบี้ยจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลว่าได้กู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นและเสียดอกเบี้ยดังกล่าวจริง จึงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี
         ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระเงินจำนวน ๒๓,๕๘๒,๑๒๐.๗๔ บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๒,๓๘๖,๑๔๙.๓๔ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระให้เสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา กับให้คืนค่าธรรมเนียมศาลแก่ผู้ฟ้องคดีตามส่วนของการชนะคดีเป็นเงิน ๘๑,๓๔๖.๒๕ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อุทธรณ์ว่า ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ที่โอนหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารตามสัญญาจ้างเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ โดยฝ่ายผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้รับโอนมิได้ลงลายมือชื่อหรือลงลายมือชื่อไม่ครบหรือลงลายมือชื่อโดยบุคคลผู้ไม่มีอำนาจทำการแทนผู้ฟ้องคดี หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดให้การโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำเป็นหนังสือ ซึ่งตามหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้รับโอนได้มีการลงนามไม่ถูกต้องตามหนังสือรับรองบริษัทที่กำหนดให้ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อกระทำการแทนผู้ฟ้องคดีได้ นายพิชัย บุญสม ต้องลงลายมือชื่อร่วมกับนางสาวเพ็ชรงาม สุทธิธรรม หรือนายสมพงษ์ บุญสม รวมเป็นสองคน และประทับตราสำคัญของบริษัท แต่ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีนายพิชัยลงลายมือชื่อร่วมกับนายเตชิต กีรตินิรันดร และประทับตราสำคัญบริษัท อันมีผลให้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่สมบูรณ์ใช้บังคับไม่ได้ และไม่มีผลผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพราะผู้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อไม่ครบตามหนังสือรับรองบริษัท  ส่วนกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทั้งสองฉบับ มิใช่เป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเหตุว่า ผู้ฟ้องคดีกับห้างดังกล่าวได้ทำสัญญากิจการร่วมค้าในการรับเหมาก่อสร้างตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ โดยใช้ชื่อว่า กิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้ง หาดใหญ่ประมวลกิจ และได้รับจ้างทำการสร้างตลาดนัดชายแดนไทย–มาเลเซีย กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล โดยได้มอบอำนาจให้นางวันดี พูลศิริ เป็นผู้รับมอบอำนาจดำเนินการเช่นเดียวกับคดีนี้ที่ผู้ดำเนินการทำสัญญาจ้างทั้งสองฉบับดังกล่าวกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ก็คือ นางวันดี ภายหลังจากทำสัญญาจ้างทั้งสองฉบับในคดีนี้แล้วได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดี แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำการก่อสร้างเสร็จในงวดบางงวดงานตามสัญญาจ้างทั้งสองฉบับดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้มอบอำนาจให้นางวันดีเป็นผู้รับมอบอำนาจรับเงินค่าจ้างจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ แสดงให้เห็นถึงเจตนาลวงและเป็นการทำนิติกรรมอำพรางได้อย่างชัดแจ้ง  ดังนั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ตามสัญญาจ้างครบถ้วนแล้ว โดยมีนางวันดีเป็นผู้รับชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้างทั้งสองฉบับไปทั้งหมด หนี้จึงเป็นอันระงับไป  ส่วนสิทธิและหนี้ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างดังกล่าวที่นางวันดีเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการย่อมเป็นไปตามสัญญากิจการร่วมค้าที่ผู้ฟ้องคดีจะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก  ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดีแก้อุทธรณ์ว่า ตามมาตรา ๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่า การโอนหนี้อันพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะเจาะจงนั้น
ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือท่านว่าไม่สมบูรณ์ เห็นได้ว่า กฎหมายกำหนดแต่เพียงว่า ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือไม่สมบูรณ์ มิได้กำหนดว่าหนังสือโอนหนี้หรือโอนสิทธิเรียกร้องจะต้องลงลายมือชื่อ
ของผู้โอนกับผู้รับโอนด้วย การโอนจึงจะสมบูรณ์  ดังนั้น แม้หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ จะลงลายมือชื่อโดยที่ฝ่ายผู้รับโอนมิได้ลงลายมือชื่อหรือลงลายมือชื่อไม่ครบหรือลงลายมือชื่อโดยบุคคลผู้ไม่มีอำนาจทำการแทนผู้ฟ้องคดี หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีย่อมมีสิทธิตามหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในอันที่จะบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาจ้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ ประกอบกับภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวแล้ว ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับผู้ฟ้องคดีให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้รับทราบเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องแล้วตามหนังสือลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้รับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว โดยที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ มิได้ทักท้วงการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างดังกล่าว อีกทั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ยังได้ชำระเงินค่างวดให้แก่ผู้ฟ้องคดีมาบางส่วน คือ ในงวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๗ เป็นเงินจำนวน ๗,๕๓๐,๘๒๗ บาท แล้ว แต่ในส่วนของการชำระเงินในงวดที่ ๘ ถึงงวดที่ ๑๐ เป็นเงินจำนวน ๕,๙๑๗,๐๗๙ บาท นั้น ผู้ฟ้องคดีมิได้มอบอำนาจให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หรือบุคคลใดเป็นผู้รับเงินแทนผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด  ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อุทธรณ์ว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า เดิมผู้ฟ้องคดีและห้างดังกล่าวได้เคยทำกิจการร่วมค้าตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
เพียงโครงการเดียว โดยในการทำสัญญากับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลในครั้งนั้นกระทำในนามของกิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้งหาดใหญ่ประมวลกิจ แต่ในการทำสัญญาจ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ในคดีนี้เป็นการทำสัญญาระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ โดยที่ผู้ฟ้องคดีมิได้อยู่ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาร่วมด้วย อีกทั้ง ผู้ฟ้องคดีและห้างดังกล่าวก็มีฐานะเป็นบุคคลที่แยกออกจากกัน ผู้ฟ้องคดีกับห้างดังกล่าวจะผูกพันตามสัญญากิจการร่วมค้าเฉพาะกิจการที่กระทำในนามของกิจการร่วมค้าเท่านั้น ทั้งจะต้องระบุไว้ด้วยว่ากระทำในนามกิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้งหาดใหญ่ประมวลกิจ และนายพิชัยต้องร่วมลงลายมือชื่อประทับตราฝ่ายผู้ฟ้องคดีในสัญญา หากมิได้ระบุว่ากระทำในนามกิจการร่วมค้าและนายพิชัยไม่ได้ร่วมลงลายมือชื่อรวมทั้งมิได้ประทับตราของผู้ฟ้องคดีหรือมิได้มีการมอบอำนาจให้แก่กันแล้ว ต้องถือว่ากิจการหรือสัญญาที่ทำขึ้นนั้นกระทำในนามส่วนตัวของผู้ฟ้องคดีหรือห้างดังกล่าวเท่านั้น  ดังนั้น เมื่อสัญญาจ้างที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทำกับห้างดังกล่าวมิได้ใช้ชื่อว่า กิจการร่วมค้าพงษ์สินโฮลดิ้งหาดใหญ่ประมวลกิจ และนายพิชัยมิได้ร่วมลงลายมือชื่อด้วยและมิได้มีการประทับตราสำคัญของฝ่ายผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีไม่ได้มอบอำนาจให้ห้างดังกล่าวเข้าทำสัญญากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ในลักษณะของกิจการร่วมค้า จึงต้องถือว่าเป็นการทำสัญญารับจ้างในนามส่วนตัวของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เท่านั้น การที่ห้างดังกล่าวทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้าง
ตามสัญญาจ้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ได้เป็นการแสดงเจตนาลวงหรือเป็นการทำนิติกรรมอำพราง ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ไม่อาจรับฟังได้ เมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระเงินค่าจ้างให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีสิทธิรับเงิน จึงเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ทำให้ไม่ได้รับชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง  ดังนั้น เมื่อการชำระหนี้ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ มิได้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หนี้ตามสัญญาจ้างและสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องจึงยังไม่ระงับไป ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีหน้าที่ตามสัญญาจ้างและหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีอยู่ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

        ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดี โดยได้รับฟังสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสำนวน และคำชี้แจงด้วยวาจาประกอบคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาเอกสารทั้งหมดในสำนวนคดี กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว
        ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมผู้ฟ้องคดีได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๐ โดยใช้ชื่อว่าบริษัท พงษ์สินโฮลดิ้ง จำกัด ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๖ ได้จดทะเบียนแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดและเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท มาร์โบว์ ๓๐๐๐๓ จำกัด (มหาชน) สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ทำสัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำงานก่อสร้างอาคารสำนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จำนวน ๔ ชั้น ณ บริเวณถนนวงเวียน ๒-๓ ตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๕๖,๐๓๐,๐๐๐ บาท และเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ทำสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทำงานตกแต่งภายในอาคารดังกล่าวพร้อมจัดหาครุภัณฑ์ประจำห้องต่างๆ เป็นเงิน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท หลังจากทำสัญญาแต่ละฉบับดังกล่าวแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ โอนสิทธิเรียกร้องในการรับชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จำนวน ๕๖,๐๓๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี และทำสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ โอนสิทธิเรียกร้องในการรับชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จำนวน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี หลังจากทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องกันดังกล่าวแล้ว ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ และลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับผู้ฟ้องคดีตามสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทราบ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ทราบเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวแล้ว และได้มีหนังสือที่ ยล ๕๑๐๐๔/๑๐๐๐ ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ และหนังสือ ที่ ยล ๕๑๐๐๔/๒๗๙๘ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ แจ้งผู้ฟ้องคดีว่าได้รับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องการรับเงินดังกล่าวแล้ว หลังจากนั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ดำเนินการก่อสร้างและตกแต่งอาคารตามสัญญาทั้งสองฉบับ เมื่อดำเนินการเสร็จในแต่ละงวด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระเงินค่าจ้างตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีตลอดมา แต่ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ แจ้งไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ว่าขอยกเลิกสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ที่มีอยู่กับผู้ฟ้องคดี โดยขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างอาคารส่วนที่เหลือให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระเงินค่าจ้างก่อสร้างอาคารตั้งแต่งวดที่ ๑๔ ถึงงวดที่ ๑๖ ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นเงินรวม ๑๖,๔๐๗,๕๙๙.๕๕ บาท นอกจากนั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๗ แจ้ง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ว่าขอยกเลิกสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องฉบับลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ที่มีอยู่กับผู้ฟ้องคดี โดยขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารส่วนที่เหลือให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งอาคารส่วนที่เหลือให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นเงิน ๒,๒๔๘,๓๒๖.๐๖ บาท และเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นเงิน ๓,๗๓๐,๒๒๓.๗๓ บาท รวมเป็นเงิน ๕,๙๗๘,๕๔๙.๗๙ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ ร้องเรียนไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีหนังสือ ที่ มท ๐๘๖๑.๔/๒๕๒ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ แจ้งผู้ฟ้องคดีว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ มีความบกพร่องไม่ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย กรณีเบิกจ่ายค่าจ้างก่อสร้างกับค่าจ้างตกแต่งอาคารให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดี จึงได้แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินแล้ว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเจ็ดทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เพียงใด ในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวคดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาตามอุทธรณ์ประการแรกว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ที่ทำขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นสัญญาที่มีผลสมบูรณ์หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แบบพิธีการโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่ง
โดยเฉพาะเจาะจงตามมาตรา ๓๐๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่ง การโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๐๖ บัญญัติแต่เพียงว่า การโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำเป็นหนังสือจึงจะสมบูรณ์ และการโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอนนั้นโดยได้ทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ มิได้บัญญัติว่าหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องนั้นจะต้องลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน  ดังนั้น การโอนสิทธิเรียกร้องที่ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวจึงเป็นการสมบูรณ์หาจำต้องลงลายมือชื่อผู้รับโอนด้วยไม่  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินเป็นหนังสือลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ โอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำงานตกแต่งภายในอาคารสำนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ สัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นจำนวนเงิน ๑๓,๔๔๗,๙๐๙ บาท โดยมีนางวันดี พูลศิริ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ เป็นผู้ลงลายมือชื่อและประทับตราของห้างในฐานะผู้โอน ฝ่ายผู้ฟ้องคดีมีนายพิชัย บุญสม ซึ่งเป็นกรรมการมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ลงลายมือชื่อร่วมกับนายเตชิต กีรตินิรันดร และประทับตราของผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้รับโอน และผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันเดียวกันแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ เพื่อทราบและขอให้มีหนังสือยืนยันรับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ซึ่งต่อมาวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีแจ้งว่าได้รับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องการรับเงินดังกล่าว และหลังจากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ก็ได้ชำระเงินตามสัญญาบางส่วนให้แก่ผู้ฟ้องคดีแล้วนั้น  เห็นว่า เมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนางวันดี หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างดังกล่าวในฐานะผู้โอนโดยถูกต้องแล้ว  ดังนั้น การโอนสิทธิเรียกร้องตามหนังสือสัญญาลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีจึงมีผลสมบูรณ์และมีผลผูกพันห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๓๐๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แล้ว กรณีไม่จำต้องพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้รับโอนจะลงลายมือชื่อครบถ้วนถูกต้องตามหนังสือรับรอง
การจดทะเบียนบริษัทหรือไม่ และเมื่อสิทธิเรียกร้องของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ในการรับเงินค่าจ้างจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ตกเป็นของผู้ฟ้องคดีตั้งแต่นั้นแล้ว ห้างดังกล่าวย่อมหมดสิทธิที่จะรับเงินค่าจ้างดังกล่าวอีกต่อไป ทั้งภายหลังจากนั้นห้างดังกล่าวหามีสิทธิที่จะเพิกถอนการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้ไม่  ดังนั้น หนังสือขอยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้อง ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๗ ที่ห้างดังกล่าวแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จ่ายเงินค่าจ้างในนามห้างดังกล่าวโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้ฟ้องคดีนั้นจึงหามีผลแต่อย่างใดไม่ ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อุทธรณ์ว่า หนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวผู้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อไม่ครบตามหนังสือรับรองบริษัททำให้สัญญาดังกล่าวไม่สมบูรณ์และไม่มีผลผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ นั้น จึงฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาประการต่อไปว่า สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ฟ้องคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ทั้งสองฉบับ เป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ และหนี้ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวระงับไปแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์หลายประการรวมทั้งการประกอบธุรกิจรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งในการประกอบธุรกิจหรือกิจการเช่นว่านี้ ผู้ฟ้องคดีย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการโดยเลือกรูปแบบการกระทำนิติกรรมสัญญากับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นได้ตามความประสงค์ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และถึงแม้ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญากิจการร่วมค้ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ไว้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีกฎหมายหรือข้อกำหนดของสัญญาข้อใดที่ห้ามผู้ฟ้องคดีประกอบธุรกิจหรือกระทำนิติกรรมอื่นในนามของผู้ฟ้องคดีเอง เพราะเหตุว่าสัญญากิจการร่วมค้าเป็นเพียงข้อตกลงในการร่วมกันดำเนินกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งของคู่สัญญาตามที่ตกลงกันเท่านั้น มิได้ส่งผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายสิ้นสิทธิหรือเสรีภาพในการประกอบกิจการทางธุรกิจหรือการทำนิติกรรมอื่นใด
ในนามของตนเองต่างหากจากกิจการร่วมค้าแต่อย่างใด อีกทั้ง การที่ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญากิจการร่วมค้ากับห้างดังกล่าวโดยเปิดเผยดังปรากฏหลักฐานเป็นสัญญาจัดตั้งกิจการร่วมค้า
ลงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ โดยมีการยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต่อสรรพากร
พื้นที่สาขาหาดใหญ่ในนามของกิจการร่วมค้าดังกล่าว ทั้งยังได้เข้าทำสัญญากับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ตามสัญญาเลขที่ ๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๖ ในนามของ
กิจการร่วมค้าเช่นกัน  ดังนั้น หากผู้ฟ้องคดีประสงค์จะใช้รูปแบบของกิจการร่วมค้าดังกล่าว
ในการเข้าทำสัญญากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ก็สามารถกระทำได้โดยเปิดเผย จึงไม่มีเหตุผลใด
ที่ผู้ฟ้องคดีจะต้องใช้การทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเพื่ออำพรางกิจการร่วมค้าดังกล่าว
เมื่อสัญญาจ้างทั้งสองฉบับที่ทำขึ้นระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ กับห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ตามสัญญาเลขที่ ๑๗/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ และสัญญาเลขที่ ๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๖ ห้างดังกล่าวในฐานะผู้รับจ้างได้กระทำในนามของห้างเอง
มิใช่กระทำในฐานะกิจการร่วมค้ากับผู้ฟ้องคดี การที่ห้างดังกล่าวได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้อง
เงินค่าจ้างตามสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวให้กับผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่เป็นการแสดงเจตนาลวง
และมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางดังที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อ้างมาในคำอุทธรณ์ อุทธรณ์ของ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔  ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น  นอกจากนี้ ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ อุทธรณ์ว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ตามสัญญาจ้างครบถ้วนแล้วโดยมีนางวันดีเป็นผู้รับชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้าง
ทั้งสองฉบับไปทั้งหมดหนี้จึงเป็นอันระงับไปนั้น เห็นว่า เมื่อสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างตามสัญญาทั้งสองฉบับจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ ตกเป็นของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ฟ้องคดีย่อมมีสิทธิที่จะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นรับเงินค่าจ้างแทนได้ และหากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้จ่ายเงินให้แก่บุคคลที่ผู้ฟ้องคดีมอบอำนาจให้รับเงินย่อมเป็นการชำระเงินค่าจ้างให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยชอบแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้มอบอำนาจให้นางวันดีรับเงินค่าจ้างแทนผู้ฟ้องคดีโดยมิได้มอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีเฉพาะค่าจ้างบางส่วนเท่านั้น โดยค่าจ้างบางส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จ่ายให้แก่ห้างดังกล่าวซึ่งมิใช่ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดี  ดังนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีครบถ้วนแล้ว หนี้ตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงหาระงับไปไม่ ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ตามคำอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกันเมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า การโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด หาดใหญ่ประมวลกิจ กับผู้ฟ้องคดี ได้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการโอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา ๓๐๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยได้มีการทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง รวมทั้งได้บอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้รับทราบการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และผู้ฟ้องคดีสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ได้ ทั้งยังมีผลทำให้สิทธิที่ห้างดังกล่าวมีอยู่เดิมทั้งหมดตกไปเป็นของผู้ฟ้องคดีด้วย  ดังนั้น เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องทั้งหมด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระเงินค่าจ้างบางส่วนให้แก่ห้างดังกล่าวจึงเป็นการกระทำผิดสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระเงินจำนวน ๒๓,๕๘๒,๑๒๐.๗๔ บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๒,๓๘๖,๑๔๙.๓๔ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชำระให้เสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา กับให้คืนค่าธรรมเนียมศาลแก่ผู้ฟ้องคดีตามส่วนของการชนะคดีเป็นเงิน ๘๑,๓๔๖.๒๕ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องที่ ๗ นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

นายจรัญ  หัตถกรรม                              ตุลาการเจ้าของสำนวน
ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด

นายเกษม  คมสัตย์ธรรม
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายปรีชา  ชวลิตธำรง
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายไพบูลย์  เสียงก้อง
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายวรวิทย์  กังศศิเทียม
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

                           ตุลาการผู้แถลงคดี : นายธีรรัฐ  อร่ามทวีทอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น