วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตรวจรับงานก่อสร้าง

คดีหมายเลขดำที่  อ. ๖๐๙/๒๕๕๑
คดีหมายเลขแดงที่  อ. ๒๓๓/๒๕๕๓
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลปกครองสูงสุด
วันที่     ๙     เดือน กันยายน  พุทธศักราช ๒๕๕๓

                                 องค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก                          ผู้ฟ้องคดี
ระหว่าง                                           
                                 นายเฉลียว  รางวัลหลาย                                         ผู้ถูกฟ้องคดี
                                               

เรื่อง  คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (อุทธรณ์คำพิพากษา)

     ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๒๔/๒๕๔๘  หมายเลขแดงที่ ๗๔๖/๒๕๕๑ ของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง)
    คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องและเพิ่มเติมคำฟ้องว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยดำเนินการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านชนิดท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ มีความยาว ๑,๗๐๐ เมตร กับผู้ถูกฟ้องคดีตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยผู้ฟ้องคดีตกลงจ่ายและผู้ถูกฟ้องคดีตกลงรับเงินค่าจ้างจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาทiและผู้ถูกฟ้องคดีต้องเริ่มทำงานที่รับจ้างภายในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยต้องทำงานให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗  ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากแจ้งว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการส่งมอบงานจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันเดียวกันคณะกรรมการตรวจการจ้างของผู้ฟ้องคดีได้ตรวจรับมอบงานดังกล่าว จากนั้นได้มีราษฎรบ้านบ่อแร่ร้องเรียนต่อปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากว่าผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านดังกล่าวได้เพียง ๑,๒๒๘ เมตร ยังขาดปริมาณงานอีก ๔๗๒ เมตร หรือคิดเป็นจำนวนท่อประมาณ ๑๑๘ ท่อน ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ผู้ฟ้องคดีจึงต้องว่าจ้างผู้รับเหมารายใหม่ให้มาดำเนินการก่อสร้างส่วนที่ยังขาดอยู่อีก ๔๗๒ เมตร ตามใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ คิดเป็นเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๖๒ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ฟ้องคดีดำเนินการชี้ขาดข้อพิพาทตามสัญญาข้อ ๑๙ พร้อมทั้งมีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๔๘ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายตนเอง ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้แต่งตั้งนายสมมาตร ศรีวชิราพร เป็นอนุญาโตตุลาการ ต่อมาอนุญาโตตุลาการของทั้งสองฝ่ายได้นัดพร้อมกันเพื่อแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนกลางเพื่อตัดสินชี้ขาดคดี ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม แต่เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ประกอบกับคดีต้องใช้ระยะเวลานานและไม่มีสภาพบังคับ ผู้รับมอบอำนาจของทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำบันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๘ โดยไม่ติดใจตั้งอนุญาโตตุลาการคนกลางและสละสิทธิการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการตามสัญญาจ้างข้อ ๑๙ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถบังคับผู้ถูกฟ้องคดีให้ชำระค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีได้จึงฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
    ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า  ผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำสัญญาจ้างโครงการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนจ่ายน้ำประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ในระหว่างที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาจ้าง นายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานได้ตรวจสอบการทำงานตลอดเวลาพร้อมทั้งทำรายงานการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีให้กับผู้ฟ้องคดีทราบเป็นระยะ ปรากฏตามรายงานผลการก่อสร้างประจำสัปดาห์ลงวันที่ ๑๔ วันที่ ๒๑ และวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗  ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ส่งมอบงานต่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก และในวันเดียวกันผู้ฟ้องคดีได้มีคำสั่งแจ้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบ คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับมอบงานพร้อมทั้งประธานคณะกรรมการและคณะกรรมการทุกคนได้ลงนามจนครบถ้วน ปรากฏตามใบตรวจรับพัสดุ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้รายงานถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากให้ทราบว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ทำการตรวจรับมอบงานเป็นการถูกต้องแล้ว เห็นควรเบิกจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไป จากนั้นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินตามสัญญาจ้างให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ ตามใบรับรองของผู้เบิก เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว  ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แจ้งว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นจำนวน ๔๕๐ เมตร ให้ดำเนินการก่อสร้างให้ครบถ้วนภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนี้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้ชี้แจงว่าในการดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ให้หัวหน้าส่วนโยธาคือนายพิสิฐเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างพร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานทุกครั้ง หากผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่ครบถ้วน เหตุใดจึงได้มีการตรวจรับมอบงาน
และอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีการส่งมอบงานให้กับผู้ฟ้องคดีถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาทุกประการ จึงไม่อาจถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้กระทำผิดสัญญา ภายหลังจากส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว ความรับผิดของผู้ถูกฟ้องคดีมีเพียงอย่างเดียวคือ ความชำรุดบกพร่องของงานเท่านั้น ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีเรียกให้ชำระเงินค่าเสียหายไม่ได้อ้างว่าเกิดจากการชำรุดบกพร่องของงานแต่อย่างใด แต่เป็นการผิดสัญญา  ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบตามฟ้อง อีกทั้งตามหนังสือของผู้ฟ้องคดีลงวันที่๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ อันเป็นเอกสารที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นในคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๒๒/๒๕๔๗ นั้น คณะกรรมการตรวจการจ้างคือนายโอภาส วุฒิไพศาล ไม่ได้ลงลายมือชื่อ แต่ปรากฏว่ามีลายมือชื่อของนายโอภาส ซึ่งน่าจะมีการปลอมลายมือชื่อดังกล่าว ใบตรวจรับพัสดุจึงมีข้อสงสัยว่าได้มีการจัดทำขึ้นมาใหม่ ผู้ฟ้องคดีไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อทำการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ปรากฏเสียก่อนว่าได้มีการกระทำผิดสัญญาจริงหรือไม่ และใครจะต้องเป็นผู้รับผิดในกรณีดังกล่าว ทั้งที่คณะกรรมการตรวจการจ้างบางคนเป็นข้าราชการและประชาชนในหมู่ที่ ๑๑ จึงต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีไม่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว แต่กลับโยนความรับผิดให้กับผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจยืนยันได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำผิดสัญญาจริงหรือไม่ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าได้ทำตามสัญญาครบถ้วนแล้ว คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงลงลายมือชื่อรับรองว่าถูกต้องครบถ้วน
    ผู้ฟ้องคดีคัดค้านคำให้การว่า  จากการตรวจสอบของหัวหน้าส่วนโยธาปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทำผิดสัญญาจ้างคือ ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านไม่แล้วเสร็จตามสัญญาจ้างซึ่งกำหนดความยาว ๑,๗๐๐ เมตร แต่ก่อสร้างเพียง ๑,๒๒๘ เมตร ยังขาดอีก ๔๗๒ เมตร ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าดำเนินการในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เข้าทำงานของผู้ถูกฟ้องคดีให้ลุล่วงไปโดยไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาทผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้รับจ้างมีหน้าที่ต้องทำการก่อสร้างขยายท่อประปาให้ครบถ้วนถูกต้องตามรูปแบบรายการตามสัญญาทุกประการ เมื่อนายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีได้ตรวจพบในภายหลังว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่ครบตามสัญญาที่กำหนด การกระทำดังกล่าวแม้มิใช่ข้อบกพร่องผิดพลาดในการทำงาน แต่เจตนาจงใจประพฤติผิดสัญญาจ้างโดยรู้ว่างานรับเหมาของตนไม่ถูกต้องตามสัญญาและไม่แก้ไข ถึงแม้ว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับมอบงานในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ และเห็นว่าได้ดำเนินการครบถ้วนถูกต้องแล้วเห็นควรเบิกเงินให้ผู้รับจ้างต่อไป แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ตรวจพบในภายหลังว่าไม่ถูกต้องตามสัญญาและมีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีให้แก้ไขงานที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ผู้ถูกฟ้องคดีไม่อาจกล่าวอ้างว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ลงนามรับว่างานดังกล่าวได้ก่อสร้างเสร็จแล้ว จึงไม่ต้องรับผิด อีกทั้ง การยื่นคำให้การของนายสมมาตร ศรีวชิราพร เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีและมีฐานะเป็นอนุญาโตตุลาการของผู้ถูกฟ้องคดี โดยยังไม่ขอถอนตัวจากการเป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบกับนายสมมาตรในฐานะผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีก็ยังไม่ได้ถูกเพิกถอนสถานะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว การยื่นคำให้การของนายสมมาตรจึงขัดต่อพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ คำให้การดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้
    ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ประสงค์ทำคำให้การเพิ่มเติม
    ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีให้ดำเนินการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชนิดท่อ PVC ขนาด Øi๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ตามรายการละเอียดแบบแปลนของส่วนโยธา ค่าจ้าง ๘๘,๐๘๐ บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการตามสัญญาตามลำดับโดยมีหัวหน้าส่วนโยธาในฐานะผู้ควบคุมงานได้จดบันทึกการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นรายวัน จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ หัวหน้าส่วนโยธาได้มีบันทึกเสนอผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีผลการทำงานได้ร้อยละ ๑๐๐ ให้แจ้งคณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับมอบงานต่อไป ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ถึงผู้ฟ้องคดีว่าได้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ เรียบร้อยแล้วให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปดำเนินการตรวจรับ โดยผู้ฟ้องคดีมีคำสั่งในวันเดียวกันให้แจ้งคณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับ คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ดำเนินการตรวจรับพร้อมออกใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับงานจ้างแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ถูกต้องครบถ้วน เห็นควรจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไป ผู้ฟ้องคดีมีคำอนุมัติในวันเดียวกันให้จ่ายเงินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากออกใบรับรองของผู้เบิก เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าการเบิกเงินหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ได้ดำเนินไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๔ ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายและระเบียบทุกประการ คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับมอบทรัพย์สินอย่างถูกต้องตามรายการและกำหนดเวลาในสัญญาแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗  กรณีจึงเห็นว่า การดำเนินการจัดหาพัสดุของผู้ฟ้องคดีได้เป็นไปตามที่กำหนดในระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ แล้วทุกประการ แม้ตามพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ได้ตรวจรับมอบงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีส่งมอบและได้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีจนเสร็จสิ้นแล้ว ย่อมสันนิษฐานได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานครบถ้วนแล้วก็ตาม
แต่เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น เมื่อปรากฏจากการตรวจสอบพื้นที่จริงเห็นได้ว่าปริมาณงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีทำมีระยะขาดหายไป ๔๗๒ เมตร จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญา แต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับมอบงาน โดยเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติงานครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีได้มีการแต่งตั้งผู้ควบคุมงานเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานตามสัญญา และคณะกรรมการตรวจการจ้างเพื่อตรวจสอบงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีส่งมอบว่าเสร็จเรียบร้อยตามสัญญาหรือไม่ ถ้าหากผู้ฟ้องคดี ผู้ควบคุมงาน และคณะกรรมการตรวจการจ้างของผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความใส่ใจตามปกติ ย่อมทราบได้ในขณะตรวจรับมอบงานว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานยังไม่เสร็จเรียบร้อยตามสัญญา กรณีต้องถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดีเอง  ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างความสำคัญผิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวมาเป็นประโยชน์ได้ตามมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และต้องถือว่าผู้ฟ้องคดียอมรับการชำระหนี้ของผู้ถูกฟ้องคดีในการก่อสร้างขยายท่อเมนประปาเพียง ๑,๒๒๘ เมตรแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญา จึงต้องถือว่าหนี้ตามสัญญาระงับไปแล้วตามมาตรา ๓๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจเรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท ได้
    ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
    ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า  สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน ระหว่างผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้ว่าจ้าง และผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้รับจ้าง คือสัญญาที่ผู้ถูกฟ้องคดีตกลงจะดำเนินการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านชนิดท่อ PVCขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ มีความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ให้แก่ผู้ฟ้องคดีจนแล้วเสร็จ หากผู้ถูกฟ้องคดีทำงานจนสำเร็จ ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้รับค่าจ้าง ๘๘,๐๘๐ บาท  ดังนั้น สัญญาจ้างดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดว่า อันสินจ้างหรือค่าจ้างที่ผู้รับจ้างจะพึงได้รับย่อมขึ้นอยู่กับผลสำเร็จแห่งการที่ทำเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญาหากผู้รับจ้างทำการงานไปได้เพียงใดผู้ว่าจ้างก็ควรต้องให้สินจ้างหรือค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างตามสัดส่วนของงานเพียงนั้น โดยในส่วนของมาตรา ๓๒๑ และมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งไม่อาจยกขึ้นปรับกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ โดยตามมาตรา ๓๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตกลงกันให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ด้วยวิธีการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ ต่อมาหากเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
การยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นนั้น ย่อมทำให้หนี้เดิมระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ระงับไปด้วย เหตุผลที่ว่าหากหนี้เดิมไม่ระงับจะมีผลให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้สองครั้ง แต่ในคดีนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโดยมีระยะทางขาดหายไป ๔๗๒ เมตร โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีชำระหนี้อย่างอื่นแทนงานที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ หนี้ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีต้องชำระต่อผู้ฟ้องคดีคืองานในส่วนของระยะที่ขาดหายไป ๔๗๒ เมตร ย่อมไม่ระงับ ในส่วนของมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันต้องพิจารณาประกอบกับมาตรา ๑๕๖ และมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เป็นกรณีความเป็นโมฆะและโมฆียะของสัญญาซึ่งคู่สัญญาได้แสดงเจตนาไปแล้ว คู่สัญญาที่สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมอันมีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆะก็ดี หรือสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินอันมีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆียะก็ดี ย่อมไม่อาจยกเอาข้ออ้างดังกล่าวขึ้นยันคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้
หากความสำคัญผิดดังกล่าวเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน แต่ในคดีนี้ไม่มีประเด็นว่าสัญญาจ้างระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีเป็นโมฆะหรือโมฆียะหรือไม่  ดังนั้น บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๘ ประกอบมาตรา ๑๕๖ และมาตรา ๑๕๗ จึงไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีได้ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นแล้วว่า ปริมาณงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานมีระยะขาดหายไป ๔๗๒ เมตร และผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ตามสัญญาแล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีในส่วนของงานที่ยังไม่ได้ทำ เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีจนทำให้ต้องว่าจ้างผู้รับเหมารายใหม่ให้มาดำเนินการและต้องเสียค่าจ้างไป ๒๒,๖๐๐ บาท (ที่ถูกคือ๒๒,๖๖๐ บาท) ซึ่งจำนวนค่าจ้างดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้เป็นประเด็นแห่งคดีไว้ว่าไม่ถูกต้องหรือสูงเกินไป ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว ประกอบกับหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีตามมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาและมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินจำนวน ๒๒,๖๐๐ บาท (ที่ถูกคือ ๒๒,๖๖๐ บาท) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
        ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ประสงค์จะทำคำแก้อุทธรณ์

     ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดี โดยได้รับฟังสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสำนวน และคำชี้แจงด้วยวาจาประกอบคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
    ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาเอกสารทั้งหมดในสำนวนคดี กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว
    ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีให้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ชนิดท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ตามแบบแปลนส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดี โดยมีค่าจ้างตามสัญญาจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท เริ่มงานในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ แล้วเสร็จภายในวันที่๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้างจำนวน ๕ คน ประกอบด้วย (๑) นายโอภาส วุฒิไพศาล (๒) นายโสภณ สุขเสมอ (๓) นายบาง ลายภูษา (๔) นายจำรัส ธรรมศร และ (๕) นายปรีชา ประสงค์ธรรม และมีนายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการก่อสร้างจนถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ จึงได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีว่าได้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงานดังกล่าวด้วย หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ เสนอผู้ฟ้องคดีว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำงานได้ผลงานครบถ้วนแล้วขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงาน คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงได้ออกใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าได้ตรวจรับมอบงานแล้วเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนและควรจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไปผู้ฟ้องคดีได้อนุมัติตามเสนอ และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้ออกใบรับรองการเบิกเงินหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ จำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงได้อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าวซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินไปแล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ต่อมา เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากว่า เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ ได้ไปตรวจสอบอีกครั้งพบว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานขาดไป ๔๗๒ เมตร เท่ากับจำนวนท่อประมาณ ๑๑๘ ท่อน เป็นเงิน ๒๗,๙๖๐ บาท จึงได้ติดต่อผู้ถูกฟ้องคดีพร้อมคณะกรรมการตรวจการจ้างให้มาตรวจสอบร่วมกันอีกครั้งในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๕ เวลา ๑๐ นาฬิกา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มาตามนัดและได้ให้นายนคร ฟักทอง มาแทนปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก พิจารณาแล้วมีความเห็นเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๑๕๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จำนวน ๔ คน ประกอบด้วย (๑) นายโสภณ สุขเสมอ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก เป็นประธานกรรมการ (๒) นายบุญช่วย ประทีปแก้ว รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากเป็นกรรมการ (๓) นายชาติชาย มุสิกชาติ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากเป็นกรรมการ และ (๔) นายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธา เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโดยขาดอยู่อีกจำนวน ๔๗๒ เมตร เป็นเงิน ๒๗,๙๖๐ บาท เห็นควรแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าดำเนินการให้แล้วเสร็จ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีให้เข้าดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังทำไม่ครบตามสัญญา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เข้าดำเนินการแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๒๐๔/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดหาพัสดุเพื่อจัดจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ (เพิ่มเติม) เป็นเงิน ๒๒,๗๐๐ บาท โดยวิธีตกลงราคา ต่อมา เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีมีใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างนายชัชวาลย์ แผ่นผา ให้ดำเนินการขยายท่อเมนประปาหมู่บ้านดังกล่าวต่อจากผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเงินค่าจ้าง ๒๒,๖๖๐ บาท ซึ่งนายชัชวาลย์ได้ส่งมอบงานจ้างเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีจึงได้สั่งอนุมัติให้จ่ายค่าจ้าง และนายชัชวาลย์ได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗
    คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำอุทธรณ์ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องคืนเงิน เนื่องจากทำงานไม่ครบถ้วนตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๔๗รลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ เป็นจำนวนเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่
    พิเคราะห์แล้วเห็นว่า  ตามข้อ ๔๘ (๔) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ กำหนดว่า เมื่อคณะกรรมการตรวจการจ้างงานตรวจแล้วเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้วให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้าง และมาตรา ๓๖๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า ในสัญญาต่างตอบแทนนั้นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ห้ามมิให้ใช้บังคับกับหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด และมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่าอันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
    ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีให้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ชนิดท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ตามแบบแปลนส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดี โดยค่าจ้างตามสัญญาเป็นจำนวนเงิน ๘๘,๐๘๐ บาท เริ่มงานในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ แล้วเสร็จภายในวันที่๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการก่อสร้างจนถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ จึงได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีว่าได้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงานดังกล่าวด้วย หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ เสนอผู้ฟ้องคดีว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำงานได้ผลงานครบถ้วนแล้วขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงาน คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงได้ออกใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าได้ตรวจรับมอบงานแล้วเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนและควรจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไป ผู้ฟ้องคดีได้อนุมัติตามเสนอ และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้ออกใบรับรองการเบิกเงินหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ จำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงได้อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินไปแล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗  ต่อมา เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากว่า เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ ได้ไปตรวจสอบอีกครั้งพบว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานขาดไป ๔๗๒ เมตร เท่ากับจำนวนท่อประมาณ ๑๑๘ ท่อน เป็นเงิน ๒๗,๙๖๐ บาท จึงได้ติดต่อผู้ถูกฟ้องคดีพร้อมคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ให้มาตรวจสอบร่วมกันอีกครั้งในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ เวลา ๑๐ นาฬิกา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มาตามนัดและได้ให้นายนคร ฟักทอง มาแทน ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากพิจารณาแล้วมีความเห็นเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๑๕๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโดยขาดอยู่อีกจำนวน ๔๗๒ เมตร เห็นควรแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าดำเนินการให้แล้วเสร็จ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีให้เข้าดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังทำไม่ครบตามสัญญา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เข้าดำเนินการแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๒๐๔/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดหาพัสดุเพื่อจัดจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ (เพิ่มเติม) เป็นเงิน ๒๒,๗๐๐ บาท โดยวิธีตกลงราคา  ต่อมา เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีมีใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างนายชัชวาลย์ แผ่นผา ให้ดำเนินการขยายท่อเมนประปาหมู่บ้านดังกล่าวต่อจากผู้ถูกฟ้องคดี เป็นเงินค่าจ้าง ๒๒,๖๖๐ บาท ซึ่งนายชัชวาลย์ได้ส่งมอบงานจ้างเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีจึงได้สั่งอนุมัติให้จ่ายค่าจ้าง และนายชัชวาลย์ได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗
    พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายและข้อเท็จจริงที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม้จะปรากฏตามใบตรวจรับพัสดุของคณะกรรมการตรวจการจ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาครบถ้วนแล้ว และมีการตรวจรับงานในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามบันทึกของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งของผู้ฟ้องคดีที่ ๑๕๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาไม่แล้วเสร็จตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ เป็นระยะทาง ๔๗๒ เมตร กรณีจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างไม่ดำเนินการตรวจรับงานให้ถูกต้องครบถ้วนหรือเป็นไปตามที่สัญญากำหนด กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ส่งมอบงานครบถ้วนตามข้อ ๔๘ (๔) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ ประกอบกับสัญญาจ้างก่อสร้างท่อเมนประปาระยะทาง ๑,๗๐๐ เมตร มีค่าจ้างเป็นจำนวนเงิน ๘๘,๐๘๐ บาท อันจะเห็นได้ว่าลักษณะของสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามสัญญา โดยผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่จะชำระค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนอันเป็นค่าจ้างตามสัญญาดังกล่าว แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาเพียง ๑,๒๒๘ เมตร ทั้งที่สัญญาได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาเป็นระยะทาง ๑,๗๐๐ เมตร กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว อันจะมีผลต่อการที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้รับค่าจ้างจากการปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว และเหตุดังกล่าวทำให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิจะเรียกเงินค่าจ้างในส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการตามสัญญาให้แล้วเสร็จคืนจากผู้ถูกฟ้องคดีได้และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีต้องดำเนินการจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เพื่อให้ดำเนินการตามโครงการก่อสร้างท่อเมนประปาที่เหลือระยะทาง ๔๗๒ เมตร ให้ครบถ้วน ตามใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ และผู้รับจ้างดังกล่าวได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว โดยส่งมอบงานในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับงานแล้ว ตามใบตรวจรับพัสดุคิดเป็นเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท  ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินอันเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาไม่ครบถ้วนเป็นระยะทาง ๔๗๒ เมตร คิดเป็นเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่า ผู้ฟ้องคดี ผู้ควบคุมงาน และคณะกรรมการตรวจการจ้างของผู้ฟ้องคดีประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างความสำคัญผิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวมาเป็นประโยชน์นั้น  เห็นว่า กรณีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดี ผู้ควบคุมงาน และคณะกรรมการตรวจการจ้างที่ควรได้รับการตรวจสอบปรับปรุงและแก้ไขการดำเนินงานจากหน่วยงานที่ควบคุมหรือกำกับดูแลและควรรับผิดอย่างใดอย่างหนึ่งจากการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น ต้องแยกส่วนจากความรับผิดอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างให้ครบถ้วนของผู้ถูกฟ้องคดีที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อผู้ฟ้องคดี โดยหาใช่เป็นกรณีที่จะกล่าวอ้างเพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีพ้นจากความรับผิดตามสัญญานี้ไปได้ ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย
    พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้เงินจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด รวมทั้งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลตามส่วนแห่งการชนะคดี
                       
นายหัสวุฒิ  วิฑิตวิริยกุล                                                     ตุลาการเจ้าของสำนวน
ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด

นายไพบูลย์  เสียงก้อง
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายสุเมธ  รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายสุชาติ  มงคลเลิศลพ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายพรชัย  มนัสศิริเพ็ญ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด                                                     

2 ความคิดเห็น:

  1. คดีนี้ เป็นคดีที่ อบต.สร้างเหมาเอกชนวางท่อเมนประปา จนผู้รับเหมาส่งงานคณะกรรมการก็ได้ตรวจรับงานเรียบร้อย และทำการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาเรียบร้อย แต่มีการร้องเรียนว่าผู้รับเหมายังวางท่อเมนประปา ได้ความยาวไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จึงได้มีการตรวจสอบปรากฎว่าความยาวไม่ครบตามสัญญาจริง จึงแจ้งผู้รับเหมาให้ทำการแก้ไขโดยวางท่อเพิ่ม แต่ผู้รับเหมาไม่ดำเนินการ ทาง อบต.จึงไปจ้างบุคคลอื่นมาวางท่อประปาเพิ่มให้ได้ตามความยาวที่กำหนดไว้ในสัญญา และฟ้องเรียกเอาเงินค่าจ้างที่จ่ายให้ผู้รับเหมารายใหม่ จากผู้รับเหมารายเดิม
    งานนี้ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้ผู้รับเหมารายเก่าต้องจ่ายเงินครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นความบกพร่อง ประมาทเลิ่นเล่อของคณะกรรมการตรวจการจ้าง ช่างคุมงาน ก็ตาม โดยศาลเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกัน ลองอ่านดูนะครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากค่ะ กำลังหาแนวคำพิพากษาพอดี
    รบกวนขอแนวคำพิพากษาเรื่องกำหนดราคากลางประปาหมู่บ้านด้วยได้ไหมคะ
    กำลังทำเรื่องสอบละเมิดแต่ยังหาแนวทางพิจารณาเทียบเคียงไม่ได้
    รถกวนด้วยนะคะ

    ตอบลบ