พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๔๙/๒๕๖๓
ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับ ๑ สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (องค์การบริหารส่วนตำบลถนนหัก) ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (นายกองค์การบริหารส่วนตำบลถนนหัก) มีคำสั่งลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และคำสั่งลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๒ แก่ผู้ฟ้องคดี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายการไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองครั้งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งอันไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีสูญเสียเงินที่จะมีสิทธิได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่งดเลื่อนขั้นเงินเดือนดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหายเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ที่งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ แก่ผู้ฟ้องคดี ตามคำสั่งลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ และคำสั่งลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เมื่อคำสั่งดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเป็นคำสั่งที่อาจโต้แย้งโดยการร้องทุกข์ได้ จึงต้องระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นคำอุทธรณ์หรือคำโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย ตามมาตรา ๔๐วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน เมื่อคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนดังกล่าวมิได้ระบุเกี่ยวกับสิทธิในการร้องทุกข์และระยะเวลาสำหรับการร้องทุกข์ไว้ จึงมีผลทำให้ระยะเวลายื่นคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีขยายเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งงดการเลื่อนขั้นเงินเดือน อันเป็นวันทราบเหตุแห่งการร้องทุกข์ ตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้ไม่ปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีทราบคำสั่งงดเลื่อนขั้นเงินเดือนทั้งสองครั้งเมื่อใด แต่อย่างเร็วที่สุด ต้องไม่ก่อนวันออกคำสั่ง การที่ผู้ฟ้องคดี มีหนังสือลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ ขอความเป็นธรรมต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ความว่า ประสงค์ขอความเป็นธรรมกรณีไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ครั้งที่ ๑ ณ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๒ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยขอให้พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามสิทธิที่ควรได้ด้วยเมื่อผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์ที่จะขอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นการเฉพาะรายให้แก่ผู้ฟ้องคดี จึงถือเป็นการร้องทุกข์ตามข้อ ๑๔๒ วรรคหนึ่ง ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการการอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๔ จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้ยื่นร้องทุกข์ภายในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ขยายออกไปแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงมีหน้าที่ต้องจัดส่งหนังสือร้องทุกข์พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อไปยังคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดบุรีรัมย์ ภายในสามวันทำการนับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องทุกข์ ตามข้อ ๑๔๗ วรรคสองของประกาศเดียวกัน และคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และร้องทุกข์ต้องพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ตามข้อ ๑๔๙ ของประกาศดังกล่าว แต่เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาแต่อย่างใด กรณีจึงถือว่าผู้ฟ้องคดีได้ดำเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ประเด็นว่า คำสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ที่งดการเลื่อน
ขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และคำสั่งลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๒ แก่ผู้ฟ้องคดี ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นั้นเมื่อพิจารณาประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบล ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๕ ประกอบกับหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๐๕/ว ๑๑๗ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ เรื่องระบบเปิดในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการแล้วจะเห็นว่า การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีให้แก่พนักงานส่วนตำบล ผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วนำผลการประเมินดังกล่าวมาเป็นหลักในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่พนักงานส่วนตำบลผู้นั้น และก่อนจะเสนอผลการประเมินดังกล่าวต่อผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน จะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองโดยคณะกรรมการที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแต่งตั้งขึ้นเสียก่อน และหากพิจารณาไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่พนักงานส่วนตำบลผู้ใด ผู้บังคับบัญชาจะต้องแจ้งให้ผู้นั้นทราบพร้อมทั้งเหตุผลที่ไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้ นอกจากนี้ ผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในระบบเปิดตามมติคณะรัฐมนตรี โดยผู้บังคับบัญชาที่เป็นผู้ประเมินจะต้องแจ้งผลการประเมินให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกประเมินทราบทุกครั้งที่มีการประเมินและก่อนจะมีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน ผู้บังคับบัญชาจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกประเมินได้ชี้แจงให้ความเห็นหรือคำปรึกษาเกี่ยวกับการประเมินดังกล่าว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ให้มีสิทธิพบผู้บังคับบัญชาได้ทันทีที่ได้รับทราบผลการประเมิน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักปลัด ได้ประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๒เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานส่วนตำบลโดยให้คะแนน ๑๑๒ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๒๐๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๕๖ และให้คะแนน๑๐๒ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๒๐๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๕๑ ตามลำดับ โดยระบุเหตุผลในทำนองเดียวกันทั้งสองครั้งว่า ผู้ฟ้องคดีควรปรับทัศนคติและพัฒนาบุคลิกภาพในการปฏิบัติงานรวมทั้งต้องเข้ารับการอบรมในหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถจึงเห็นควรให้งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนแก่ผู้ฟ้องคดี จากนั้นในวันถัดมาของการประเมินแต่ละครั้งคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการเลื่อนขั้นเงินเดือนพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับผลการประเมินดังกล่าว และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ในฐานะผู้ประเมินเหนือขึ้นไปและผู้มีอำนาจออกคำสั่ง พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย จึงมีคำสั่งให้งดเลื่อนขั้นเงินเดือนแก่ผู้ฟ้องคดีตามคำสั่งลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗และคำสั่งลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานว่า ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลถนนหักและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ประกาศเกณฑ์และมาตรฐานการประเมินความดีความชอบเพื่อการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีและประกาศรายชื่อผู้อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้แจ้งผลการประเมินเป็นหนังสือให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจง ให้ความเห็น หรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการประเมินก่อนที่จะมีคำสั่งงดเลื่อนขั้นเงินเดือนทั้งสองครั้ง และไม่ได้แจ้งคำสั่งงดเลื่อนขั้นเงินเดือนดังกล่าวแก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด จึงรับฟังได้ว่า ในการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ซึ่งได้นำไปประกอบการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนแต่ละครั้งดังกล่าวนั้น ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักปลัด และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ทำการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดี ไม่ได้แจ้งผลการประเมินที่เห็นควรงดการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้ผู้ฟ้องคดีทราบ และไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจงให้ความเห็น หรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการประเมินและผลการประเมินดังกล่าวเพื่อแก้ไขปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น ก่อนมีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนทั้งสองครั้ง รวมทั้งไม่ได้แจ้งคำสั่งงดเลื่อนขั้นเงินเดือนดังกล่าวพร้อมเหตุผลให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ดังนั้น การดำเนินการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีจึงขัดต่อหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่ข้อ ๒๐๐ วรรคสอง ข้อ ๒๙๖ วรรคสอง และข้อ ๓๐๓ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตำบล ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๕ และหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร๐๒๐๕/ว ๑๑๗ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ เรื่อง ระบบเปิดในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งถือว่าเป็นหลักเกณฑ์ รูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้น คำสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ที่งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และคำสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ที่งดการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๒ แก่ผู้ฟ้องคดี จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ เฉพาะส่วน ที่เกี่ยวกับผู้ฟ้องคดี และคำสั่งลงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับผู้ฟ้องคดี โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ออกคำสั่งดังกล่าว คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่าให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนของผู้ฟ้องคดีประจำปีงบประมาณพ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ใหม่ ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งนี้ ไม่ควรเกินกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น