พินิจการเมือง: ปฏิรูปประเทศโดยองค์กรท้องถิ่น |
โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ |
ศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม ผมเห็นว่า การปฏิรูปประเทศเป็น วาระสำคัญยิ่ง ที่จะต้องทำให้เกิด ผลในเชิงปฏิบัติและเป็นรูปธรรม แต่ปรากฏการณ์ของการปฏิรูปประเทศที่เป็นอยู่ มีแต่เพียงการนำเสนอข้อมูลและการจัดเวที โดยไม่มีผลในเชิงปฏิบัติและเห็นว่าควรจะก้าวพ้นเรื่องเหล่านี้ ทั้งนี้ เพราะเห็นว่าได้มีข้อมูลสถิติจากแหล่งต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาของประเทศ ซึ่งรวบรวมไว้อย่างมากมายจนเกือบจะสำลักข้อมูลกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ทั้งในแง่การจัดสรรปันส่วนเรื่องที่ดินทำกิน การไร้ที่ดินทำกิน การจัดสวัสดิการที่ไม่เป็นธรรม และช่องว่างในการจัดบริการสาธารณะด้านต่างๆ เป็นต้น ข้อมูลสถิติเหล่านี้ควรจะได้นำมาสังเคราะห์และหาข้อสรุป จัดลำดับความสำคัญ เพื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติการ ขับเคลื่อนให้เกิดผลในการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลในทางปฏิบัติ ผมจึงเห็นว่า การขับเคลื่อนประเทศไปสู่การปฏิบัติจึงต้องทำทันทีจากฐานสถิติข้อมูลที่มีอยู่ และมาจำแนกว่า เรื่องใดทำได้ทันที และเรื่องใดต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะการจัดลำดับความสำคัญเพื่อการปฏิบัติการ ทั้งในกลไกส่วนราชการ กลไกองค์กรท้องถิ่น และกลไกภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งจะต้องพิจารณาว่า ประเด็นใดควรใช้กับกลไกใดจึงมีประสิทธิภาพมากที่สุด บทเรียนการปฏิรูปประเทศในอดีตถึงปัจจุบันที่ผ่านมา รัฐบาลหลายยุคหลายสมัย แม้ในยุคปัจจุบันมักให้น้ำหนักกับการใช้กลไกภาคส่วนราชการที่มากเกินไปในการขับเคลื่อนการปฏิรูป ซึ่งคำตอบพบว่า เป็นไปอย่างช้าๆ และขาดประสิทธิภาพ ผมจึงมีข้อเสนอว่า "การใช้กลไกองค์กรท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูปประเทศน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด" และจะเป็นจุดเปลี่ยนความคิดใหม่ที่จะให้องค์กรท้องถิ่นเป็นหน่วยบริการสาธารณะและแก้ไขปัญหาสังคมด้านต่างๆ ทั้งนี้ เพราะองค์กรท้องถิ่น เป็นองค์กรที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ย่อมมีข้อมูลประชากรและข้อมูลชุมชนดีที่สุด ซึ่งสามารถจำแนกแยกแยะความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ของตนว่า จะมีคนจนอยู่จำนวนเท่าไหร่ มีใครบ้างที่ไม่มีที่ดินทำกิน มีใครบ้างที่ไม่มีบ้านอยู่อาศัย มีใครบ้างที่ต้องกู้หนี้ยืมสิน รวมทั้งมีครอบครัวใดบ้างที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้กลไกองค์กรท้องถิ่น ย่อมมีหน้าที่ที่ต้องดูแลประชาชนของตนเอง โดยเฉพาะการมีแผนและยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาและพัฒนา ที่กล่าวอย่างนี้เพราะองค์กรท้องถิ่นทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นประเภท อบต.หรือจะปรับ อบต.เป็นเทศบาล และเห็นว่า เทศบาลก็ต้องย่อมมีข้อมูลประชากร บุคคล ครอบครัว ชุมชน ในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง อปท.ทุกประเภท มีทั้งงบประมาณของตนเอง มีบุคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือที่จะต้องทำภารกิจ ย่อมสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีทั้งระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ องค์กรท้องถิ่น ยังมีองค์ประกอบสำคัญนั่นก็คือ การมีส่วนร่วมของภาคพลเมืองและภาคประชาคมท้องถิ่น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ และการมีส่วนร่วมของพลเมือง ประชาสังคม มีศักยภาพ และมีประสิทธิภาพได้อย่างไร นั่นก็คือ ต้องเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความสามารถในการช่วยแก้ปัญหาของประเทศ และทำให้พลเมืองมีความรู้สึกว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องร่วมรับผิดชอบชุมชน องค์กรท้องถิ่นของตนเอง ผมจึงเห็นว่า การปฏิรูปการกระจาย อำนาจและการปฏิรูปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ย่อมเป็นความจำเป็นและเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล เท่าที่ผ่านมาพบว่า การปฏิรูปการกระจายอำนาจและองค์กรท้องถิ่นไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลอย่างจริงจังแต่อย่างใด แม้ว่าเราจะเคยมีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เพื่อทำการปฏิรูปด้านการปกครองท้องถิ่น และมีข้อมูลเสนอให้กับรัฐบาลไว้มากมาย โดยเฉพาะในรูปของเอกสาร (Paper Work) แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาลนำมาขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การกำหนดแนวทางการปฏิรูปประเทศ ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ไม่ได้มีการบรรจุการปฏิรูปด้านการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่นแต่อย่างใด แม้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะไปแอบไว้ในคณะปฏิรูปสังคมก็ตาม แต่ยังเห็นว่าคณะปฏิรูปสังคมยังวกวนกับปัญหาข้อมูลเดิมๆ ขาดกลไกและแผนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ข้อเสนอในการใช้กลไกองค์กรท้องถิ่นเป็นกลไกในการปฏิรูปประเทศนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า องค์กรท้องถิ่นอาจจะไปเกี่ยวพันกับการเป็นตัวช่วยในการปฏิรูปสังคมได้ เพราะฐานของการปฏิรูปสังคมส่วนหนึ่งอยู่ที่ฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการกระจายอำนาจและการปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเป็นประเด็นเสนอที่จะต้องทำให้ท้องถิ่นมีศักยภาพและขีดความสามารถ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบและสามารถทำได้เลย เป็นต้นว่า ประการที่ 1 การปฏิรูปส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของขีดความสามารถในการจัดเก็บภาษี โดยปรับให้ท้องถิ่นเก็บภาษีต่างๆ ได้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนรายได้ระหว่างรัฐกับท้องถิ่นให้ชัดเจน ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพในการเปิดให้ท้องถิ่นแสวงหารายได้จากการทำภารกิจในเชิงกิจกรรมพาณิชย์ และการแสวงหาความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เป็นต้น ประการที่ 2 การปฏิรูปโครงสร้างท้องถิ่นให้ลงตัว โดยเฉพาะการพิจารณาจำนวนประชากร จำนวนรายได้ ความหนาแน่นที่เหมาะสมในแต่ละบริบทท้องถิ่น ประการที่ 3 การจัดทำกฎหมายและพัฒนากฎหมายให้สอดรับกับ รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดอำนาจหน้าที่ที่ขึ้นอยู่ กับขนาดและรายได้ของท้องถิ่นแต่ละประเภท รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะที่ ท้องถิ่นต้องดำเนินการเอง ร่วมดำเนินการกับภาคส่วนอื่น หรือมอบหมายให้ ภาคส่วนอื่นไปดำเนินการ ประการที่ 4 การจัดให้มีกฎหมายการมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นของพลเมือง และภาคส่วนอื่นๆ ให้ชัดเจน ข้อเสนอเหล่านี้ต้องการเรียกร้องให้ปฏิรูปท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศ และที่สำคัญมีประเด็นอื่นๆ อีกมากมายที่จะต้องดำเนินการปฏิรูปท้องถิ่น โดยเฉพาะประชาคม ท้องถิ่นทั้งหลาย ทั้งในรูปสมาคม ชมรม ของท้องถิ่น ต้องมีเอกภาพที่จะเสนอข้อมูลการปฏิรูปท้องถิ่น ซึ่งอาจจะต้องมีกลไกองค์กรท้องถิ่นในการปฏิรูป นั้นก็คือ การเสนอให้ตั้งสภาปฏิรูปท้องถิ่นโดยภาคพลเมืองและชุมชนท้องถิ่น |
เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวงงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ฅนเทศบาล
เมนูหลัก
ข่าวท้องถิ่น
ระเบียบบริหารงานบุคคลของพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานการบริหารงานบุคคลพนักงานส่วนท้องถิ่น
วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560
พินิจการเมือง: ปฏิรูปประเทศโดยองค์กรท้องถิ่น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น