วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

บทความพิเศษ: อำนาจการบริหารบุคคลส่วนท้องถิ่น ตอนที่ 3

บทความพิเศษ: อำนาจการบริหารบุคคลส่วนท้องถิ่น ตอนที่ 3

สยามรัฐ  ฉบับวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐

          ทีมวิชาการ สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย
          การยึดอำนาจการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 8/2560 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 นัยว่าเป็นการใช้มาตรา 44 ริบอำนาจการบริหารงานบุคคลจากท้องถิ่น เพื่อตัดวงจรอุปถัมภ์ อันเป็นการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยมีสาระสำคัญให้ก.กลางมีอำนาจหน้าที่แทนท้องถิ่นใน 2 ประการคือ
(1) การสอบแข่งขัน และ
(2) การคัดเลือกหรือสอบคัดเลือก ให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทอำนวยการบริหาร บริหารสถานศึกษา ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบจ. เทศบาล อบต. และ เมืองพัทยา ไม่รวม กทม.
โดยมีข้อยกเว้น ตามคำสั่งฯ ข้อ 2 วรรคสองว่า ก.กลางอาจมอบให้ ก.จังหวัดดำเนินการแทนได้
          การเข้ามาของคนมี "ด ว ง" ต้องเปลี่ยนบริบทใหม่
          รากเหง้าปัญหาการบริหารงานบุคคลท้องถิ่นอย่างหนึ่งคือ "ปัญหาการใช้ระบบอุปถัมภ์ที่มากเกินไปหรือทุจริตในการบริหารงานบุคคล" ดังคำพูดที่คนท้องถิ่นรู้จักกันดีว่า คนที่จะเติบโตก้าวหน้าในเส้นทางชีวิตราชการท้องถิ่นต้อง (1) ด = เป็น "เด็ก" ของใคร หมายความว่า ต้องมีลูกพี่ หรือผู้บังคับบัญชาที่อุปถัมภ์ (2) ว = ต้อง "วิ่ง" เต้น เส้นสาย เอาหน้าฉาบฉวย อยู่เฉย ๆ คงแย่ ไม่ก้าวหน้า และ (3) ง =ต้องมี "เงิน" ไม่ว่ากรณีใด ๆ แม้การประเมินปรับขนาด ปรับชั้น ตำแหน่งของตนเอง ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่าย ที่เจ้าตัวต้องจ่าย หรือสมยอมจ่าย หรือ จ่ายเพื่อต่างตอบแทน เช่น การปรับตำแหน่ง ระดับ 9 (ผู้บริหารระดับเชี่ยวชาญ) มีเสียงเล่าขานกันปากต่อปากว่าต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเป็นล้าน เป็นต้น
          การเปลี่ยนระบบการบริหารงานบุคคลจากนายก อปท. และ ก.จังหวัด ไปไว้ที่ ก.กลาง หรือส่วน
          กลาง ก็เท่ากับเป็นการล้มระบบอุปถัมภ์จากส่วนล่างอย่างไรก็ตาม ข้าราชการส่วนท้องถิ่นหลายคนต่างอดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นการเปลี่ยน "ระบบอุปถัมภ์จากท้องถิ่น" ไปเป็น "ระบบอุปถัมภ์จากส่วนกลาง" มิแย่ไปกว่าเดิมหรือ ในระยะเริ่มแรกยุครัฐบาล คสช.อาจยังไม่มีคนข้าราชการที่มี "ด ว ง" แต่ในอนาคตเมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง (ประชาธิปไตย)ย่อมมีข้าราชการที่มี "ด ว ง" ได้อีก แต่ก็หวังว่าอย่าให้เป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็แล้วกัน
          ข้อวิตกห่วงใยการสอบสายบริหาร อำนวยการฯ
          ลองมาดูข้อสังเกตหรือข้อวิตกห่วงใยในประเด็นการสอบสายบริหาร อำนวยการฯ เหล่านี้กัน
          (1) การสอบต้องมี 3 ส่วนเช่นเดิมคือ
               (1.1)การให้คะแนนโดยการสอบ หรือคะแนนวิสัยทัศน์ อีกส่วนคือ
               (1.2) การให้คะแนนตามเกณฑ์ความเหมาะสมต้องยึดหลักเดิม เช่น จบปริญญาตรี โท เอกระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง มีช่วงคะแนนให้เพื่อให้ระดับอาวุโส มีสิทธิ ดีกว่า เหมาะสมกว่า ผู้ที่มีวัยวุฒิน้อยกว่า ประการสุดท้าย
               (1.3) การสัมภาษณ์ควรมีเกณฑ์ให้คะแนน อย่างเปิดเผย มิใช่กำหนดช่วงคะแนนห่างจนเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
          (2) ต้องมีการเปิดเผยคะแนนการสอบ และเรียกดูกระดาษคำตอบได้
          (3) ประเด็นความโปร่งใสของการออกข้อสอบ ควรใช้ข้อสอบกลาง ซึ่งหน่วยงานกลางหรือมหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกข้อสอบ เพราะมีปัญหาที่ผ่านมา ผู้ใกล้ชิด มักจะสอบผ่าน หรือสอบได้ ไม่เห็นด้วยที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะเป็นผู้ออกข้อสอบเอง เพราะอาจทำให้ไม่โปร่งใส
          (4) การเทียบโอนตำแหน่งเพื่อการสอบ ควรจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง สำหรับผู้ปฏิบัติงานจริง มิใช่เพื่อสำหรับคน"พาสชั้น" หรือเด็กนายในส่วนกลาง (กรมกระทรวง) แต่ควรสำหรับคนรุ่นใหม่ไฟแรงก้าวหน้าที่เรียกว่า "ฟาสต์แทร็ก" (fast track) มากกว่า
          (5) ต้องขจัดปัญหาความไม่คล่องตัวของการบริหารงานบุคคลออกไป เช่น
               (5.1) การกำหนดรอบการสอบให้เหมาะสม มิใช่นานปีเปิดเพียง 1 ครั้งอาจทำให้เกิดปัญหาบุคคลการขาดแคลนได้
               (5.2) คำสั่งเรียกบรรจุมาจากส่วนกลาง โดยท้องถิ่นเสนอความต้องการและรายงานตำแหน่งว่าง การเรียกใช้บัญชีสอบต้องเรียงตามลำดับ มิใช่ไปหาที่ลงเอง หรือนายก อปท. สามารถระบุเรียกใช้บัญชีได้ ซึ่งอาจมีทั้งที่ระบุตัว หรือข้ามลำดับเพื่อความยืดหยุ่นได้บ้างตามหลักเกณฑ์ อย่างไรก็ตามผู้ที่สอบได้ลำดับก่อนต้องมีที่บรรจุลง
                (5.3) การเปิดสอบโดยรวบรวมตำแหน่งว่างทั้งหมด แล้วให้ผู้มีคุณสมบัติสมัครสอบตำแหน่งของตน ใช้หลักผ่าน 60% ขึ้นบัญชีไว้ การเลือกลงตำแหน่งให้ผู้สอบได้ก่อนพิจารณาก่อน ไม่พอใจสละสิทธิให้ลำดับถัดไปเลือกจนตำแหน่งหมดหากมีตำแหน่งว่างเพราะไม่มีคนไปลง ก็เปิดสอบใหม่
                 (5.4) ปัญหาที่จะตามมาในการแต่งตั้งก็คือภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ปัญหาครอบครัว ค่าดำรงชีพในการปฏิบัติราชการ เป็นต้น ฉะนั้น การสอบขึ้นบัญชีอาจมีการกำหนดในระดับประเทศ ภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด อำเภอ ให้มีขอบเขตที่ยืดหยุ่น พื้นที่ไม่กว้างมาก เพราะหากยิ่งขอบเขตพื้นที่บรรจุกว้างมากยิ่งอาจมีปัญหามากตามความกว้าง โดยมีข้อแม้ว่า ในความประสงค์ของผู้สอบก็น่าจะมีขอบเขตที่จำกัดเช่นกัน เพราะมิฉะนั้น ถือเป็นความเสียเปรียบในการบรรจุแต่งตั้งได้เช่นกัน เป็นต้น
          (6) ในส่วนของผู้เข้าสอบต้องปรับตัว เตรียมความพร้อมศึกษาระเบียบ กฎหมายให้มากกว่าเดิมเพราะจะมีการสอบแข่งกัน ไม่มีอีกแล้วที่สมัครคนเดียวสอบคนเดียวได้ที่ 1 ผู้เข้าสอบต้องเร่งทำผลงานเด่น รวบรวมเอาไว้นำเสนอกรณีคัดเลือกเพื่อเลื่อนระดับให้สูงขึ้น
          (7) ตัวอย่างที่น่าเป็นกรณีศึกษา ก็คือในกระแสการเรียกร้องเดิมกลุ่ม รองปลัด อปท. ได้เคยเรียกร้องให้แก้ไขเรื่องกำหนดอำนาจหน้าที่ให้รองปลัด อปท. ให้มีความรับผิดชอบในกองใดกองหนึ่งซึ่งในโอกาสต่อไปเพื่อให้เกิดสภาวะสมดุลของความก้าวหน้า สอดรับปริมาณงานของหน่วยงานและประสบการณ์ของตำแหน่งผู้บริหาร ส่วนกลางต้องกำหนดโครงสร้าง อปท. แบบสำเร็จรูปมาให้ท้องถิ่นการให้ท้องถิ่นกำหนดเองคงไม่มีแล้ว จะต้องปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์โครงสร้างกันใหม่ และเปลี่ยนฐานอำนาจใหม่ด้วย
          (8) ในการบริหารงานบุคคลสำหรับเจ้าหน้าที่อปท. ในปัจจุบัน มีข้อวิพากษ์แถมพิเศษว่า อยากให้คสช.ยกเลิกให้คณะผู้บริหารท้องถิ่นรักษาการต่อไปเมื่อครบวาระ แล้วให้ปลัด อปท. ปฏิบัติหน้าที่แทนก็จะติดข้อขัดข้องว่า "ปลัด อปท. ไม่ยึดโยงประชาชน"นายก อปท. ก็มิใช่ว่าจะมีผู้ที่ไม่ดีทั้งหมด เช่นเดียวกับ ปลัด อปท. ก็ใช่ว่าจะดีทุกคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากไม่พิจารณาในแง่ "คุณธรรม จริยธรรม"ฝ่ายข้าราชการก็โต้แย้งว่า ในการปฏิบัติราชการนั้นงานจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี ข้าราชการส่วนท้องถิ่นเกิดความรักใคร่สามัคคี ยึดระเบียบแบบแผนในการทำงาน ซึ่งฝ่ายข้าราชการประจำจะทำงานได้ดีกว่าฝ่ายการเมืองที่ไม่ค่อยยึดระเบียบแบบแผนเพราะเข้ามาตามวาระ มีลักษณะเป็นการเมือง แต่ข้าราชการมีความมั่นคงกว่า และไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงในทางธุรกิจการเมือง ฉะนั้น ในการดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยหลีกเลี่ยง หรือฝ่าฝืนกฎหมาย จึงมีความเป็นไปได้น้อย เป็นต้น
          ฝากอนาคตไว้กับส่วนกลางในอนาคตการเติบโตก้าวหน้าในชีวิตราชการของคนท้องถิ่นอาจยิ่งหนักไปกว่าเดิมที่เป็นอยู่กล่าวคือจะมีคนที่มีคุณสมบัติสอบคัดเลือกขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเป็นจำนวนมาก มีเยอะขึ้น เพราะฐานจำนวนเดิมของตำแหน่ง ผู้บริหาร อำนวยการฯ เดิมก็มีอยู่มากมาย ด้วยระบบบริหารงานบุคคลแบบเดิมได้สร้างปัญหาตรงนี้ไว้ การยังคงให้ อปท. กำหนดโครงสร้างเองอย่างเดิม อาจจะไม่มีการกำหนดตำแหน่ง ไม่มีการปรับปรุงตำแหน่งเกิดขึ้น ตำแหน่งว่างก็มีเพียงตำแหน่งที่เกิดจากการเกษียณอายุ หรือตาย หรือลาออก หรือถูกปลดออกไล่ออก เท่านั้นเพราะผู้อยู่ในตำแหน่งบริหาร อำนวยการฯ ยังคงเหลืออายุราชการถึง 10 ปีเศษ เพราะส่วนใหญ่มีอายุไม่ถึง 50 ปี นอกจากนี้ ข้อวิตกที่สุดว่า การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารงานบุคคลจากเดิมมาเป็นแบบส่วนกลางดำเนินการนั้น มันไม่น่าจะแตกต่างกัน หากระบบราชการไทยยังคงมีระบบอุปถัมภ์อยู่มันอาจเข้าทางที่เขาเรียกกันว่าโยนหมูเข้าปาก...เพราะประสบการณ์ที่เห็นมาก็มีการทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ จึงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น