วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

คอลัมน์ สายตรงท้องถิ่น: พื้นที่ปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

คอลัมน์ สายตรงท้องถิ่น: พื้นที่ปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สยามรัฐ  ฉบับวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙

          รศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม
          แนว ทางในการแก้ปัญหาพื้นที่ปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสถานการณ์ ปัญหายุคใหม่ของสังคมและชุมชนโดยรวม เราจะพบว่ามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีพื้นที่ปัญหาร่วมอยู่จำนวนมาก ซึ่งการพูดถึงพื้นที่ปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั่นก็คือ การที่ประชาชนในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับผลกระทบจากปัญหาในวง กว้างยากที่จะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งเข้าไปแก้ไข
          การ จัดการปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องใช้หลักแก้ไขร่วม กันในลักษณะความร่วมมือที่ต้องใช้การแก้ปัญหามากกว่าหนึ่งท้องถิ่นขึ้นไป (2-3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือมากกว่านั้น)
          นอกจากนี้ ยังมีลักษณะปัญหาร่วมที่เป็นผลกระทบในลักษณะข้ามเขตจังหวัดโดยที่จังหวัด นั้นๆมีอาณาเขตที่เชื่อมติดต่อกัน ซึ่งหากมีปัญหาร่วมและได้รับผล
          กระทบก็จำเป็นที่จะต้องหาแนวทางแก้ไขร่วมกันในลักษณะความร่วมมือ
          ลักษณะ ของปัญหาร่วมที่กล่าวถึงนั้นมีอยู่หลายลักษณะ ดังเช่น ปัญหาน้ำกินน้ำใช้และน้ำเพื่อการเกษตร ที่ขยายผลกระทบในหลายพื้นที่ ซึ่งจะต้องหาแนวทางการจัดการน้ำร่วมกัน ปัญหาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดิน น้ำ ป่า ที่ครอบคลุมหลายพื้นที่ หรืออาจจะมีลักษณะข้ามจังหวัด ปัญหาด้านการบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ ที่กระทบในหลายพื้นที่และต้องการการจัดการปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นที่เกี่ยวข้อง
          ผมจึงเห็นว่า การจัดการปัญหาร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาจจะพาดพิงถึงหน่วยงานอื่นๆ นั้นย่อมมีความจำเป็น และมีความสำคัญต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัญหาสลับซับซ้อนมากกว่าในอดีต และการหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่จะต้องตอบโจทย์อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนากลไกที่เป็นอยู่ให้ทันต่อสถานการณ์
          โดย เฉพาะการหาแนวทางการสร้างความร่วมมือระหว่างท้องถิ่น ทั้งในลักษณะพื้นที่ติดต่อกันและพื้นที่ข้ามเขตจังหวัด ซึ่งอาจจะกระทำโดยใช้กลไกกฎหมาย
          รองรับที่มีประสิทธิภาพ การพิจารณาเรื่องการกระจายอำนาจที่คาบความสัมพันธ์ระหว่างส่วนราชการที่ เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จะต้องมีการปรับรื้อกฎหมายและปรับ เปลี่ยนอำนาจมาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
          ทั้งนี้ ผมเห็นว่ากลไกและเครื่องมือที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์และขาด ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วง ที
          ผมได้มีโอกาสมาลงพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานีโดยการเชิญของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่นและมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีให้มาลงพื้นที่ในเขต พื้นที่คาบเกี่ยวที่มีปัญหาร่วมเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรที่ มีผลกระทบมาจากการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง แหล่งน้ำตื้นเขินและมีความแห้งแล้งที่ขยายวงกว้างในเขตรอยต่อระหว่างอำเภอ เขื่องใน จังหวัดอุบลราช
          ธานี กับอำเภอค้อวัง จังหวัดยโสธร ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีและ จังหวัดยโสธร และพื้นที่ได้รับผลกระทบอยู่ในเขตองค์การบริการส่วนตำบลค้อทองและองค์การ บริหารส่วนตำบลฟ้าห่วน โดยงานวิจัยของสกว.ดังกล่าวรับผิดชอบโดยทีมวิจัยสามส่วน ได้แก่ ทีมคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ทีมนักวิจัยจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะทีมเจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี และทีมองค์การบริหารส่วนตำบลทั้งสองแห่งดังกล่าว รวมทั้งทีมพี่น้องประชาชนที่เป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อการ
          เกษตร พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องการแหล่งน้ำเพื่อการทำนา เพราะเกษตรกรอาศัยน้ำจากเขตชลประทานส่วนหนึ่ง ซึ่งมีแหล่งน้ำมาจากแม่น้ำชีและแม่น้ำมูล และส่วนหนึ่งมีระบบหนองน้ำและการชลประทานระบบท่อ โดยพบว่ายังไม่เพียงพอและขาดประสิทธิภาพในการดำเนินการกักเก็บน้ำไว้ใช้ให้ เพียงพอ
          โดยที่ภารกิจส่วนหนึ่งขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)ทั้งสองแห่ง ก็ต้องมีหน้าที่ในการจัดหาแหล่งน้ำให้แก่เกษตรกรแต่การทำงานขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวก็ยังมี
          ปัญหาอุปสรรคทั้งใน แง่กรอบแนวคิดที่ยึดการทำงานแบบพื้นที่ใครพื้นที่มันและอุปสรรคในเชิงกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการใช้งงบประมาณร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดัง กล่าว
          ทางออกที่กระทำกันอยู่ก็คือการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ซึ่งบันทึกข้อตกลงร่วมนี้ ถ้าจะให้รัดกุมมั่นคงจะต้องสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วนหลายประเด็นอย่าง ถ่องแท้ ดังเช่น ความเข้าใจปัญหาและตระหนักในปัญหาร่วม การมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายปัญหาในเรื่องการจัดการน้ำร่วมการให้สภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นทั้งสี่แห่งดังกล่าวมีความเข้าใจและมียุทธศาสตร์ร่วม และการทำแผนยุทธศาสตร์ในเชิงโครงการและกิจกรรมของแต่ละส่วนเพื่อจะก่อให้ เกิดพลังและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา
          นอกจากนี้แล้ว ยังจะต้องแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานที่อยู่นอกเขตการปกครองขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น ส่วนราชการภายในจังหวัด กรมและกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และกรมพัฒนาที่ดิน เป็นต้น โดยงานวิจัยมีโจทย์ว่าจะต้องค้นหารูปแบบการพัฒนาพื้นที่คาบเกี่ยวหรือ พื้นที่พิเศษที่มีปัญหาร่วมกัน แสวงหาแนวทางในการจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
          นอก จากนี้แล้วก็ยังเป็นการส่งสัญญาณให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้า ใจสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตว่ายังมีเขตพื้นที่คาบเกี่ยว ในการที่จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการหาแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันจัดการปัญหาเพื่อ ก่อให้มเกิดประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน โดยสามารถกระทำได้ในหลายแนวทางดังเช่น
          แนวทางที่หนึ่ง การปรับปรุงกฎหมายการกระจายอำนาจและการมีกฎหมายความร่วมมือที่ควรจะใช้เพื่อ ทำงานในเขตพื้นที่พิเศษดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัว
          แนว ทางที่สอง การคิดถึงการทำงานในพื้นที่ข้ามเขตจังหวัดและภายในจังหวัด จะต้องหาแนวทางให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดทำงานร่วมมือกันอย่างมี ประสิทธิภาพทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และอำนาจหน้าที่
          แนวทางที่สาม การส่งเสริมกลุ่ม องค์กรภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคมที่จะต้องรวมกลุ่มกันแสวงหาทุนทาง ทรัพยากร กองทุนผู้ใช้น้ำ หรืออาจใช้แนวทางภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ
          ทั้ง หลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้ เรื่องของการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคำนึงถึง กลไกและเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและทำให้เกษตรกร สามารถทำมาหากินเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น