ศาลมีคําสั่งปล่อยตัวชั่วคราว ... พ้นจากสมาชิกภาพสภาเทศบาลหรือไม่ !
คดีปกครองที่จะนํามาเล่าสู่กันฟังฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาล ด้วยเหตุที่ต้องคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจํา
ข้อเท็จจริงในคดี คือ ขณะที่ผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาเทศบาล ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มี คําพิพากษาคดีอาญาให้จําคุกผู้ฟ้องคดี 1 ปี ในฐานความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา และผู้ฟ้องคดีถูกจําคุกตามหมายจําคุกระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ผู้ฟ้องคดียื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาอนุญาต ศาลจังหวัดจึงมีหมายปล่อยชั่วคราว และผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ว่าราชการจังหวัด) ในฐานะผู้มีอํานาจควบคุมดูแลเทศบาล มีหนังสือถึงนายอําเภอ แจ้งสิ้นสุดสมาชิกภาพของผู้ฟ้องคดีโดยผลของกฎหมาย และไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่มี ข้อสงสัยที่จะต้องสอบสวนเพื่อประกอบการพิจารณาและวินิจฉัย
นายกเทศมนตรีจึงมีหนังสือแจ้งการสิ้นสุดสมาชิกภาพให้ผู้ฟ้องคดีทราบ
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การที่ศาลจังหวัดมีหมายปล่อยชั่วคราว ทําให้ผู้ฟ้องคดียังไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพ สมาชิกสภาเทศบาล การวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีสิ้นสุดสมาชิกภาพสมาชิกสภาเทศบาล
ปัญหาคือ การที่ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจําถือเป็น การขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายอันเป็นเหตุให้สิ้นสุดสมาชิกภาพของการดํารงตําแหน่งสมาชิก สภาเทศบาลหรือไม่ ? โดยมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ได้กําหนดลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วยเหตุต้องคําพิพากษาจําคุกไว้หลายลักษณะ กล่าวคือ (4) ต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาล (5) ได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกตั้งแต่ สองปีขึ้นไป และได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันเลือกตั้งเว้นแต่ในความผิดอันได้กระทําโดยประมาท (6) ต้องคําพิพากษา ถึงที่สุดว่ากระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือต้องคําพิพากษามายัง ไม่ถึงห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การต้องห้ามใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ด้วยเหตุถูกจําคุกโดยคําพิพากษานั้น มีการวางหลักเกณฑ์หลายระดับ มีทั้งการถูกจําคุกโดยมีคําพิพากษาถึงที่สุด และจําคุกโดยคดียังไม่ถึงที่สุด กรณีที่มีคําพิพากษาถึงที่สุด หากเนื่องจากการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ก็จะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ไม่ว่าจะ ได้รับโทษจําคุกจริงหรือไม่ แต่ถ้าเป็นการกระทําความผิดอื่นต้องเป็นกรณีที่ถูกจําคุกจริงและเป็นโทษจําคุกตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป และได้พ้นโทษยังไม่ถึง 5 ปี ส่วนกรณีที่ถูกจําคุกโดยคําพิพากษา แต่คําพิพากษาดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จะเป็นเหตุให้ต้อง ห้ามสมัครรับเลือกตั้งนั้น ต้องเป็นกรณีที่ถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาลในขณะรับเลือกตั้งหรือในขณะที่ดํารงตําแหน่ง สมาชิกสภาเทศบาล
การที่ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายศาลจังหวัด กรณีจึงต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 45 (4) แห่งพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของผู้ฟ้องคดีสิ้นสุดลง ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แม้ต่อมาภายหลังผู้ฟ้องคดีจะได้รับการปล่อยตัว ในระหว่างฎีกา ก็ไม่ทําให้ผลของการสิ้นสุดสมาชิกภาพเปลี่ยนแปลงไป และกรณีดังกล่าวถือเป็นความผิดชัดแจ้ง ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่จําต้องตรวจสอบหรือหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ. 1384/2558)
จากคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ได้วางบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดีสําหรับหน่วยงาน ทางปกครอง เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาวินิจฉัยถึงการสิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 เพราะ “เหตุถูกคุมขังโดยหมายศาล” โดยคดี ยังไม่ถึงที่สุด และกรณีดังกล่าวถือเป็นความผิดที่ชัดแจ้งที่หน่วยงานไม่จําต้องดําเนินการตรวจสอบหรือหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม อันเป็นผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอํานาจตามมาตรา 19 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 วินิจฉัยให้ สมาชิกสภาเทศบาลดังกล่าวสิ้นสุดสมาชิกภาพได้ ... ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น