เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวงงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ฅนเทศบาล
เมนูหลัก
ข่าวท้องถิ่น
ระเบียบบริหารงานบุคคลของพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานการบริหารงานบุคคลพนักงานส่วนท้องถิ่น
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
“จำเรียง -อีโดกวังจาน” สะพาน ... ขาด ป้ายเตือนอยู่ไหน ... ครับ !
“จำเรียง -อีโดกวังจาน”
สะพาน ... ขาด ป้ายเตือนอยู่ไหน ... ครับ
!
(หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์คดีปกครอง ฉบับวันเสาร์ที่
26 พฤษภาคม 2555)
คดีปกครองที่จะนำมาเล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์การบริหารส่วนตำบลละเลยต่อหน้าที่
ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและซ่อมบำรุงรักษาถนนหนทางที่สัญจรไปมาทำให้ประชาชนได้รับอันตราย
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดให้มีป้ายเตือนให้ระวังทางชำรุดแต่ไม่เพียงพอที่จะป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ
จากการใช้ถนนได้
เรื่องมีอยู่ว่าผู้ฟ้องคดีใช้ให้นาย ก. ขับรถยนต์ของตนซึ่งอยู่ระหว่างการผ่อนชำระตามสัญญาเช่าซื้อไปส่งของที่บ้าน เมื่อนาย ก. ขับรถผ่านเส้นทางทางหลวงชนบท สาย พช
2066 จำเรียง -อีโดกวังจาน ในเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ปรากฏว่านาย ก. ไม่ทราบว่าสะพานข้ามแม่น้ำป่าสักขาด
เนื่องจากไม่มีการปิดทางบริเวณก่อนถึงสะพาน เพื่อป้องกันมิให้รถสัญจรผ่านไปถึงสะพานได้
ทำให้รถที่อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีคันดังกล่าวตกลงไปในแม่น้ำได้รับความเสียหาย
ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี (องค์การบริหารส่วนตำบล)
ชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถูกปฏิเสธความรับผิด
ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและเรียกค่าเสียหายจากการที่ไม่อาจใช้ประโยชน์จากรถยนต์พิพาทได้
ผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่า
ได้จัดทำป้ายเตือนขนาดใหญ่ความว่า “อันตรายสะพานขาด” ขวางทาง
เข้าถนนสาย พช 2066 สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
แต่ผู้ขับขี่เมาสุราจึงขับรถผ่านป้ายเตือน แสดงว่าผู้ฟ้องคดีสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยด้วยตนอง
และผู้ฟ้องคดีเป็นเพียงผู้ให้นาย ก. ยืมรถไปใช้จนเกิดความเสียหาย
นาย ก. ต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรือเสียหายที่จะฟ้องคดีได้
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิฟ้ององค์การบริหารส่วนตำบลหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ยังไม่ครบ
แต่ก็มีสิทธิจะยึดถือรถยนต์และใช้ประโยชน์ในฐานะผู้เช่าซื้อได้ ตลอดจนมีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดี
และเมื่อได้ใช้เงินครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถยนต์ย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้ฟ้องคดี
หรือหากเลิกสัญญาเช่าซื้อก็ต้องส่งรถยนต์คืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเดิม ฉะนั้น
เมื่อรถยนต์เสียหายและขาดประโยชน์จากการใช้ และผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ความเสียหายเช่นว่านี้เกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติของผู้ถูกฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้
อันเนื่องจากการงดเว้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่เกิดแก่รถยนต์และจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์จำต้องมีคำบังคับของศาลตามที่กำหนดในมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542 โดยการสั่งให้ผู้ฟ้องคดีใช้เงินหรือให้ส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทำการหรืองดเว้นเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีกลับคืนสู่ฐานะเดิม
ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี
และนาย ก. เป็นเพียงผู้ขับขี่รถยนต์ตามที่ผู้ฟ้องคดีมอบหมายและมิใช่กรณีการยืมใช้คงรูป
ตามมาตรา 640 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น นาย ก.
ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้
ส่วนการกระทำขององค์การบริหารส่วนตำบลเป็นการละเลยต่อหน้าที่หรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีตั้งป้ายเตือนสะพานขาดบริเวณปากทางสาย พช
2066 จำเรียง -อีโดกวังจาน ซึ่งห่างจากสะพานที่เกิดเหตุประมาณ
2 กิโลเมตร ถึง 3 กิโลเมตร เพียงป้ายเดียวนั้น
แสดงถึงความไม่ใส่ใจที่จะป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับประชาชนทั่วไป และการที่ละเลยไม่ปิดทางบริเวณก่อนถึงสะพานที่เกิดเหตุเพื่อป้องกันมิให้มีการสัญจรผ่านไปถึงสะพานได้นั้น
ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ยังไม่พอสมควรแก่เหตุ
และไม่ปรากฏว่าตั้งแต่สะพานขาดจนถึงวันที่รถยนต์ของผู้ฟ้องคดี
ตกสะพาน ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการใดๆ ในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อซ่อมแซมสะพานให้ใช้ได้ดีดังเดิม
จึงเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและและซ่อมแซม
บำรุงรักษาทางซึ่งเป็นหน้าที่ตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
พ.ศ. 2537 ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีในผลแห่งละเมิด
อย่างไรก็ดี การที่ผู้ถูกฟ้องคดีจัดทำ ป้ายเตือนขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนตั้งขวางปากทาง
ให้เหลือช่องทางเดินรถเพียงหนึ่งช่องทาง หากนาย ก. มีความระมัดระวังในการขับรถย่อมสังเกตเห็นป้ายเตือน
อุบัติเหตุดังกล่าวจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนาย ก. รวมอยู่ด้วย
แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีผลมาจาก การละเลยต่อหน้าที่ของผู้ถูกฟ้ องคดีมากกว่าความประมาทเลินเล่อของนาย
ก. จึงพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าซ่อมรถยนต์ในอัตราร้อยละแปดสิบ
ของราคาค่าซ่อม ค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีไม่อาจใช้ประโยชน์จากรถยนต์พิพาท และค่าเสียหายจากการว่าจ้างรถยนต์ผู้อื่น
มาใช้แทน เนื่องจากไม่ได้ใช้รถยนต์ในการขายสินค้า (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่
อ. 33/2554)
คดีนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับหน่วยงานทางปกครองที่มีหน้าที่ดูแลและบำรุงรักษาถนนหนทาง
ทั้งทางบก ทางน้ำว่าจะต้องเอาใจใส่สอดส่องและซ่อมแซมให้ถนนหนทางอยู่ในสภาพที่ประชาชนผู้สัญจรไปมา
สามารถใช้ได้ดีตลอดเวลา และถึงแม้จะได้ดำเนินการเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนั้นแล้ว
ก็ควรที่จะต้อง พินิจพิจารณาว่าเพียงพอที่จะป้องกันมิให้เกิดอันตรายขึ้นหรือไม่ ส่วนผู้ที่ใช้ถนนหนทางสัญจรไปมาก็ควรที่จะใช้
ความระมัดระวัง เพราะที่สุดแล้วหากอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากความไม่ระมัดระวังของผู้ใช้ถนนหนทางเองก็ถือเป็น
ผู้มีส่วนร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ครับ!
นายปกครอง
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ขอใช้รถไปราชการ ... แต่แวะผ่านงานศพ !
ขอใช้รถไปราชการ ... แต่แวะผ่านงานศพ
!
(หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์คดีปกครอง ฉบับวันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2555)
คดีที่นำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
โดยเฉพาะผู้ที่ขออนุญาตใช้รถยนต์ของราชการไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ แต่ได้นำรถยนต์ไปทำธุระอย่างอื่นซึ่งมิใช่ในหน้าที่ราชการด้วยเห็นว่าเป็นเส้นทางผ่านพอดี
หรืออยู่ใกล้กับสถานที่ที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่แล้ว และได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในระหว่างนั้น
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นกับรถยนต์ของทางราชการผู้ขออนุญาตต้องรับผิดหรือไม่ ?
ข้อเท็จจริงในคดีนี้มีอยู่ว่า นาย ก. รักษาการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัย
(ผู้ฟ้องคดี) ได้ขออนุญาต ใช้รถยนต์ของวิทยาลัย
นำคณะครูและเจ้าหน้าที่
ไปศึกษาดูงานที่วิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด แต่เมื่อดูงานเสร็จ นาย ก. และคณะไม่ได้เดินทางกลับทันที
แต่แวะไปงานศพมารดาของครูวิทยาลัยเดียวกัน หลังจากนั้น ระหว่างเดินทางกลับ
รถยนต์เกิดอุบัติเหตุลื่นไถลชนกับเนินดิน รั้วบ้านและท่อประปาหมู่บ้านทำให้รถยนต์ได้รับ
ความเสียหาย
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (ผู้ถูกฟ้องคดี)
จึงมีคำสั่งให้นาย ก. ชำระค่าเสียหาย เป็นเงิน
213,625.50 บาท ตามความเห็นของกระทรวงการคลังว่า การที่นาย ก. ขออนุญาตนำรถยนต์ไปราชการและ
ไปงานศพต่อ ไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นนาย ก.
ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ทางราชการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
420 เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นมิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นไปตามมาตรา
10 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
นาย ก. เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการแวะเคารพศพมารดา ของผู้ใต้บังคับบัญชา
เป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่บุคลากร มีประโยชน์ในการพัฒนาองค์กร และเป็นเส้นทาง ที่รถผ่านอยู่แล้ว
อีกทั้ง อุบัติเหตุเกิดขึ้นเพราะฝนตกถนนลื่นและทางโค้ง สถานที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่บริเวณงานศพ
จึงฟ้องขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอนคาสั่งดังกล่าว
การขออนุญาตใช้รถในคดีนี้ถือเป็นการใช้รถในการปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือไม่ ?
ซึ่งตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากการกระทำละเมิด เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น
แต่หากมิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งก็หมายความว่าไม่ว่าจะกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือประมาทเลินเล่อธรรมดา
เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดเป็นการเฉพาะตัวและรับผิดในความเสียหายเต็มจำนวนอย่างสิ้นเชิง
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า แม้นาย ก. จะได้รับอนุญาตให้นำคณะครูและเจ้าหน้าที่
ไปศึกษาดูงาน ที่วิทยาลัยอื่น แต่เมื่อพิจารณาขั้นตอนการขออนุญาตโดยนาย ก.
มีบันทึกลงวันที่ 7 สิงหาคม 2544 ขออนุญาตไปดูงาน ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดกับการเดินทางไปศึกษาดูงานวันที่
10 สิงหาคม 2544 และไม่ปรากฏหลักฐานการจัดเตรียมแผนงานในการศึกษาดูงาน
ประกอบกับมีบันทึกประสานไปยังสถานที่ที่จะดูงานก่อนวันเดินทางเพียงหนึ่งวัน
อีกทั้ง ไม่ปรากฏว่างานที่นาย ก. รับผิดชอบมีปัญหาอุปสรรค
อันจะมีเหตุผลถึงขนาดที่ต้อง ไปศึกษาดูงานดังกล่าว และเดินทางไปถึงสถานที่ดูงานในช่วงเวลาเย็น
และใช้เวลาศึกษาดูงานไม่ถึงชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติในการเดินทางไกลเพื่อไปศึกษาดูงานอย่างชัดเจน
ประกอบกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยให้การว่า การเดินทางไปศึกษาดูงานครั้งนี้
มีเจตนาที่แท้จริงคือ ต้องการไปงานศพพร้อมกับได้นำเงินทำบุญพร้อมของถวายพระไปด้วย
การขออนุญาตใช้รถยนต์จึงมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริง คือ ต้องการใช้รถยนต์เพื่อไปงานศพ
จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ดังนั้น เมื่อระหว่างเดินทางกลับ รถยนต์ได้เกิดอุบัติเหตุเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
นาย ก. จึงต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดเป็นการส่วนตัว ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. 2539 เมื่อรถยนต์ได้รับ ความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น
213,625.50 บาท ผู้ฟ้องคดีจึงมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายเต็มตามจำนวนค่าเสียหาย
ที่แท้จริง คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายจึงชอบแล้ว (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 15/2555)
คดีนี้จึงเป็นอุทาหรณ์สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งผู้ขออนุญาตใช้รถยนต์ของทางราชการหรือ
ผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลรถยนต์ของทางราชการว่า จะต้องใช้รถยนต์ของราชการเพื่อประโยชน์ของราชการเท่านั้น
และหากแม้ได้ใช้เพื่อประโยชน์ของทางราชการแล้ว ก็ควรจะรีบส่งรถยนต์คืนให้ราชการเสียโดยเร็ว
มิใช่นำรถไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวในเรื่องอื่นๆ เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้นอาจต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ... ครับ !
นายปกครอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)