เปิดคำวินิจฉัยกฤษฎีกา การเสียภาษีบำรุงท้องที่ของสนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 21:46:00 น.
|
มติชนออนไลน์ รายงานว่า
เมื่อไม่นานมานี้ กรุงเทพมหานครได้มีหนังสือ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า
ด้วยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้มีหนังสือขอลดหย่อนเนื้อที่ดินในการชำระภาษีบำรุงท้องที่
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้เหตุผลว่าได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช ๒๔๗๙
และกรุงเทพมหานครได้หารือกระทรวงมหาดไทย
กรณีที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งจัดให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่าเพื่อใช้ประโยชน์
เป็นสถานพยาบาล สถานการศึกษา องค์กรการกุศล สวนสาธารณะ ศาสนกิจ ศาสนสถาน และสถานทูต
เข้าข่ายได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ หรือไม่
กระทรวง
มหาดไทยได้แจ้งว่าเจตนารมณ์ของมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
กำหนดให้ที่ดินที่ใช้เฉพาะในกิจการหรือเป็นที่ตั้งของกิจการที่กำหนดไว้ตาม
มาตรา ๘ (๑) ถึง (๑๒)
ไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่
ซึ่งเป็นหลักการที่คำนึงถึงตัวทรัพย์ที่เป็นที่ดินเป็นหลักไม่ว่าเจ้าของ
ที่ดินจะนำไปใช้เองหรือให้บุคคลอื่นนำไปใช้ก็ตามโดยไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ตัว
เจ้าของที่ดิน
ส่วน
เจ้าของที่ดินจะมีรายได้อย่างใดก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เจ้าของที่ดินมี
หน้าที่ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ประเภทบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลตามประมวล
รัษฎากร เมื่อปรากฏว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้นำที่ดินไปให้
หน่วยงานต่าง
ๆ เช่าเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการ ตามมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ เช่น กรณีกิจการสาธารณะ
ศาสนกิจและศาสนสถาน โดยมิได้หาผลประโยชน์ หรือกรณีกิจการสถานพยาบาล
สถานการศึกษา องค์กรการกุศล
และสถานทูต ไม่ว่าที่ดินดังกล่าวจะนำไปหาผลประโยชน์หรือไม่ก็ตาม
เจ้าของที่ดิน
(สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์)
ก็ย่อมได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่
อีกทั้งมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
พุทธศักราช ๒๔๗๙
ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ
ก็ได้บัญญัติให้ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ที่เป็นทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษี
อากรไว้เช่นเดียวกัน
กรุงเทพมหานครได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
มีเจตนารมณ์ให้เจ้าของที่ดินมีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๗
จึงต้องถือว่ากรณีนี้เป็นหลักของกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ ส่วนข้อยกเว้นอยู่ในมาตรา ๘
ประกอบกับกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่เป็นกฎหมายมหาชน จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด
หากกฎหมายไม่บัญญัติไว้ย่อมไม่มีอำนาจกระทำได้การตีความเกินกว่าตัวบทที่กฎหมายบัญญัติไว้
จึงเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น เมื่อบทบัญญัติมาตรา ๘ (๒)
และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ ไม่ได้บัญญัติว่า
หากเจ้าของที่ดินนำที่ดินให้ผู้อื่นเช่าเพื่อใช้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
หรือที่ดินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์
หรือใช้ที่ดินในกิจการพยาบาลสาธารณะ การศึกษา หรือการกุศลสาธารณะแล้ว
เจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ จากเหตุผลในการพิจารณาหลักการตีความดังกล่าว
จึงมีความเห็น ดังนี้
(๑)
กรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ทำสัญญาให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าธนบุรีเช่าที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งสถานศึกษาซึ่งตามพระราชบัญญัติ
ภาษีบำรุงท้องที่ฯ
มาตรา ๘ (๔)
กำหนดว่าเจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินที่ใช้เฉพาะ
การพยาบาลสาธารณะ
การศึกษา หรือการกุศลสาธารณะ
เมื่อปรากฏว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้นำที่ดินดังกล่าวออก
ให้เช่าเพื่อใช้เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยโดยมีผลประโยชน์เป็นค่าเช่า
ซึ่งกิจการดังกล่าวไม่ใช่กิจการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดย
ตรง
กรณีนี้ถือได้ว่าเป็นการหาผลประโยชน์จากที่ดิน
จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๘
(๔) และอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
(๒)
กรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ทำสัญญาให้กรุงเทพมหานครเช่า
ที่ดินเพื่อเป็นสวนสาธารณะ
สวนธนบุรีรมย์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ มาตรา ๘ (๒)
กำหนดว่าเจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินที่เป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะโดย
มิได้หาผลประโยชน์ เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายเห็นว่า
แม้ที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะ
ถ้าได้รับ
ผลประโยชน์จากที่ดินนั้น
ย่อมต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่เช่นเดียวกันกับที่ดินของบุคคลทั่วไป
และการที่จะได้รับยกเว้นไม่เสียภาษีบำรุงท้องที่
ต้องปรากฏว่าไม่ได้รับผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว
เมื่อปรากฏว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้นำที่ดินดังกล่าวออก
ให้เช่าเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสวนสาธารณะโดยมีผลประโยชน์เป็นค่าเช่าซึ่งกิจการ
ดังกล่าวไม่ใช่กิจการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยตรง
กรณีนี้ถือได้ว่าเป็นการหาผลประโยชน์จากที่ดิน
จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๘
(๒) และอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
ด้วยเช่นกัน
สำหรับความเห็นของกระทรวง
มหาดไทยเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของมาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ นั้น
กรุงเทพมหานครเห็นว่าส่งผลต่อการตีความพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน
พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๙ (๒)
ซึ่งกำหนดให้ทรัพย์สินของรัฐบาลที่ใช้ในกิจการของรัฐบาลหรือสาธารณะได้รับยก
เว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินด้วยเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีบำรุง
ท้องที่ฯ
และพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ เป็นกฎหมายมหาชนเหมือนกัน
และเป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นในการจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินเหมือนกัน
ดัง
นั้น
การตีความกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดิน
จึงต้องใช้หลักการตีความโดยเคร่งครัดเช่นเดียวกับกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่
ดังนั้น
เพื่อให้กรณีดังกล่าวข้างต้นมีข้อยุติ
จึงขอหารือในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวเพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติใน
การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่พ.ศ.
๒๕๐๘
คณะ
กรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) ได้พิจารณาข้อหารือของกรุงเทพมหานคร
โดยมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
ผู้แทนกรุงเทพมหานคร
และผู้แทนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า
พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช ๒๔๗๙
ได้กำหนดให้แยกทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ออกเป็น ๓ ประเภท คือ
ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนพระองค์
โดยในส่วนของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่นอกเหนือไปจากที่เป็นเครื่อง
อุปโภคบริโภคนั้น มาตรา ๕
วรรคสองได้กำหนดให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นหน่วยงานหลักที่
มีหน้าที่ดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ในกองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่
มีไว้เพื่อใช้จ่ายสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ
สำหรับ
การเสียภาษีอากรของทรัพย์สินทั้งสามประเภทนั้นได้มีการบัญญัติไว้ในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ฯ ทั้งนี้
ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ย่อมได้รับยกเว้นจากการเก็บภาษี
อากรเช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดินแต่ในเรื่องการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่
หากเป็นกรณีทั่วไปย่อมต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.
๒๕๐๘ ดังนั้น
การกำหนดให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้รับยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรเช่น
เดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดินตามมาตรา๘
วรรคสอง ย่อมหมายความว่า
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินของแผ่นดิน
ทรัพย์สินของแผ่นดินได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีอากรเพียงใด
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ได้รับการยกเว้นเพียงนั้น
ถ้าทรัพย์สิน
ของแผ่นดินไม่ได้รับยกเว้น
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้รับยกเว้นเช่นกัน
ดังที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (อนุกรรมการร่างกฎหมาย
ชุดที่ ๑) ได้เคยให้ความเห็นไว้แล้ว นอกจากนี้
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือชี้แจงเพิ่มเติมถึงผู้อำนวยการ
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ว่า
มาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
พุทธศักราช ๒๔๗๙
เป็นกฎหมายแม่บทที่ต้องนำมาใช้บังคับในทุกกรณี
ถึงจะมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีฉบับใดในภายหลังกล่าวถึงยกเว้นไม่เก็บภาษีและใน
คำยกเว้นนั้นมิได้ระบุถึงทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ไว้ก็ตามมิใช่จะหมาย
ความว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะไม่ได้รับการยกเว้นและต้องเสียภาษี
นั้น
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คงไม่ต้องเสียภาษีใหม่นี้อยู่นั่นเอง
ทั้ง
นี้
เพราะได้รับการยกเว้นเป็นการทั่วไปไว้ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สิน
ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช
๒๔๗๙ แล้ว
ทำให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรทั้ง
ภาษีอากรที่จัดเก็บอยู่หรือภาษีอากรที่จะมีกฎหมายตราขึ้นให้จัดเก็บต่อไปภาย
หน้าด้วยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงไม่ต้องเสียภาษีอากรใด
ๆ ไม่ว่าที่เรียกเก็บอยู่ขณะนี้หรือจะมีมาในภายหน้า
อย่าง
ไรก็ตาม
ไม่อาจกล่าวได้ว่าเมื่อเป็นที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แล้วจะ
ได้รับยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ในทุกกรณีเนื่องจากทรัพย์สินของแผ่นดินก็ยังมี
บางกรณีที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่
การจะพิจารณาว่าที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใดจะต้องเสียภาษี
บำรุงท้องที่หรือไม่จึงต้องพิจารณาจากพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯประกอบ
ด้วย
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) จึงมีความเห็นในแต่ละประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง
ที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา
กษัตริย์จัดให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเช่าที่ดินเพื่อใช้
เป็นที่ตั้งสถานศึกษาจะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา๘
(๔)แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ หรือไม่ เห็นว่า
บทบัญญัติมาตรา ๘ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
กำหนดให้เจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินที่ใช้เฉพาะ
การพยาบาลสาธารณะ การศึกษา
หรือการกุศลสาธารณะ
แต่มิได้บัญญัติว่าที่ดินดังกล่าวจะต้องเป็นที่ดินของบุคคลใด
ฉะนั้น
ไม่ว่าที่ดินนั้นจะเป็นที่ดินของบุคคลใดก็ตาม หากใช้เพื่อการพยาบาลสาธารณะ
การศึกษา
หรือการกุศลสาธารณะแล้ว
ย่อมอยู่ในข่ายได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ทั้งสิ้น
โดยไม่ต้องคำนึงว่าที่ดินดังกล่าวนั้นเจ้าของจะเป็นผู้ใช้เพื่อกิจการนั้น
ด้วยตนเองหรือมอบให้ผู้อื่นใช้เพื่อกิจการนั้นประกอบกับในช่องหมายเหตุ
(๑) ของบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๗
ท้ายพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ บัญญัติว่า
"ที่ดินที่ใช้ประกอบการกสิกรรมเฉพาะประเภทไม้ล้มลุกให้เสียกึ่งอัตรา
แต่ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกนั้นด้วยตนเอง
ให้เสียอย่างสูงไม่เกินไร่ละ ๕ บาท"
แสดงให้เห็นว่าอาจมีกรณีที่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าของที่ดินเป็นผู้ใช้
ที่ดินก็ได้
จึงได้กำหนดอัตราภาษีบำรุงท้องที่ที่แตกต่างกัน
หรืออีกนัยหนึ่งกฎหมายมิได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นที่ดินที่เจ้าของใช้เพื่อ
กิจการนั้นด้วยตนเอง
แต่ถือเอาลักษณะของการใช้เป็นสำคัญ ซึ่งในเรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกา
(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๗)
ได้เคยให้ความเห็นไว้ด้วยแล้ว
ดัง
นั้น
กรณีที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งจัดให้มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสถานศึกษาจึงเป็น
การใช้ที่ดินเพื่อการศึกษาตามมาตรา๘
(๔)แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้อง
ที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
ประเด็นที่สอง
ที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา
กษัตริย์จัดให้กรุงเทพมหานครเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสวนสาธารณะจะต้อง
เสียภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา๘
(๒)แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ หรือไม่ เห็นว่า
เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า
การได้รับยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๘
มุ่งพิจารณาจากการใช้ประโยชน์ในตัวที่ดินเป็นหลัก
โดยมิได้กำหนดว่าเจ้าของที่ดินจะต้องเป็นผู้ใช้ที่ดินดำเนินกิจการต่าง ๆ
ด้วยตนเอง ดังนั้น
เมื่อพิจารณาจากลักษณะการใช้ประโยชน์ของที่ดินแล้ว
ที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งจัดให้กรุงเทพมหานครเช่า
ที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งสวนสาธารณะเพื่อพักผ่อนหย่อนใจย่อมเป็นการใช้
ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์
และโดยที่กรณีนี้หากเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ใช้ใน
กิจการของรัฐหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์แล้วก็จะได้รับยกเว้นภาษีบำรุง
ท้องที่ตามมาตรา๘
(๒) แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ฯ
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งได้รับยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรเช่นเดียว
กับทรัพย์สินของแผ่นดินจึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ด้วย
อนึ่ง
โดยที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
การที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้นำที่ดินที่เป็นทรัพย์สินส่วน
พระมหากษัตริย์ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและกรุงเทพมหานคร
เช่านั้นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะได้รับค่าเช่าตอบแทน
กรณีการได้รับค่าเช่าดังกล่าวจะทำให้เจ้าของที่ดินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรง
เรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช
๒๔๗๕ หรือไม่
ย่อมต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน
------------------- คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒)นายพนัส สิมะเสถียร ประธานกรรมการ นายบดี
จุณณานนท์ กรรมการ คุณพรทิพย์ จาละ กรรมการ นายสมชัย ฤชุพันธุ์ กรรมการ นายปัญญา ถนอมรอด
กรรมการ นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ กรรมการ นายธานิศ เกศวพิทักษ์ กรรมการ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น