หลักการใหม่ๆในร่างประมวลกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
๑.การกำหนดให้มีสภาองค์กรปกครองท้องถิ่นแห่งชาติ
หรือ ส.ท.ช.
ตามแนวคิดในการร่าง
จะกำหนดให้มี สภาองค์กรปกครองท้องถิ่นแห่งชาติ
เป็นหน่วยงานที่กำหนดขึ้นมารับผิดชอบในการดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
แทนกระทรวงมหาดไทย ส.ท.ช.นี้ มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง (อาจได้แนวคิดมาจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
มีเลขาธิการสภาองค์กรปกครองท้องถิ่นแห่งชาติ เป็นระดับ ซี ๑๑ ข้าราชการในสังกัด
มีแนวความคิดกำหนดให้เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือน
ข้าราชการในสภาแห่งนี้สามารถโยกย้ายออกไปเป็นข้าราชการในท้องถิ่นได้
และในขณะเดียวกันข้าราชการในท้องถิ่น เช่น อบต. เทศบาล อบจ. ก็สามารถเติบโต
หรือย้ายเข้ามาปฏิบัติงานในสภานี้ได้เช่นกัน ซึ่งคิดว่าในการบริหารงานก็คงต้องจัดตั้งเป็นสำนักงาน
เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบงานของสภาฯ อาจเรียกชื่อเล่นๆ ว่า
สำนักงานสภาองค์กรปกครองท้องถิ่นแห่งชาติ ในสำนักงานแห่งนี้ก็จะแบ่งส่วนราชการ
ออกเป็น
๑.
คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
๒.คณะะกรรมการส่งเสริมการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
๓.คณะกรรมการคลังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
๔.คณะกรรมการกลางบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สมมุตินะครับว่าจัดตั้งสี่หน่วยงานนี้ขึ้นมา
เป็นหน่วยงานเทียบเท่ากรม แนวคิดผมเองนะครับ
ไม่อยากให้รับโอนคนของสำนักนายกและมหาดไทย มาครับ
เพราะถ้ารับโอนมาก็จะต้องรับวัฒนธรรมและแนวคิดในการทำงานแบบของสำนักนายกและของคนมหาดไทยเข้ามาครอบงำองค์กรเหมือนเดิม
และหน่วยงานที่
๕ ที่เสนอให้มีเพิ่มเติมก็คือ สำนักเลขาธิการสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครับ
ไม่งั้นเลขาธิการไม่มีมือ ทำงานละแย่เลย
ที่มาของคณะกรรมการสภา
อำนาจหน้าที่ ไม่ขอกล่าวซ้ำนะครับ เพราะในร่างได้นำลงไว้แล้ว
๒.ข้อเสนอเกี่ยวกับผู้บริหารท้องถิ่น
ร่างประมวลนี้ต้องกำหนดให้มีที่มาของผู้บริหารท้องถิ่นได้หลายรูปแบบ ครับ เช่น
มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม
หรืออาจเป็นรูปของผู้จัดการเมือง
๓.มีบทบัญญัติให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมกิจการขององค์กรปกครองท้องถิ่น
ลักษณะเดียวกับ กองทุนส่งเสริมกิจการเทศบาล โดยกองทุนอาจจ้างนักบริหารกองทุนมืออาชีพเข้ามาบริหารงานได้
เพื่อให้สมาชิกมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการเป็นสมาชิกกองทุน
๔.มีการรับรองการจัดตั้งสันนิบาตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภท
เช่น สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจ่ายค่าบำรุงได้
และกำหนดบทบาทหน้าที่ของสันนิบาตให้ชัดเจนในการเป็นสมาคมวิชาชีพ
คือประมาณว่าจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเอง และไม่ต้องไปทะเลาะกับ สตง.
ว่าจ่ายเงินได้หรือไม่ได้
๕.มีการกำหนดในเรื่องของความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ทั้งประเภทเดียวกันและต่างประเภท ให้สามารถทำกิจการร่วมได้
นอกจากนี้ยังสามารถทำกิจการร่วมกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชนได้
คือควรมีความชัดเจนและมีกฎหมายรองรับไว้
เพราะในอนาคตผมว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีการรวมตัวกันทำกิจการใหญ่ๆ เช่น
ทุกท้องถิ่นในอำเภออาจรวมตัวกันและร่วมกับภาคเอกชน จัดตั้งโรงฆ่าสัตว์ที่ทันสมัย
เป็นต้น
ข้อเสนอแนะครับ
๑.ในประมวลกฎหมายนี้
ควรมีบทกำหนดให้ท้องถิ่น สามารถยุบรวม เพื่อจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นท้องถิ่นขนาดใหญ่ได้ง่าย
เช่น เทศบาล อบต. ทั้งอำเภอยุบรวมเป็น เทศบาลขนาดใหญ่ หรือ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษ เช่น จัดตั้งเป็น เมือง หรือ นคร หรือ มหานคร โดยมีมาตรการในเรื่องรายได้เข้ามาสนับสนุน
๒.การกำกับดูแลท้องถิ่น
บทบาทอำนาจหน้าที่ของผู้กำกับ ใครจะเป็นผู้กำกับ
ท้องถิ่นยังควรอยู่ใต้อำนาจการกำกับดูแลของราชการส่วนภูมิภาคหรือไม่
หรือควรออกแบบการกำกับดูแลโดยภาคประชาชน
หรืออยู่ในกำกับดูแลของสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบัญญัติผ่านสภาแล้ว
นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถลงนามประกาศใช้ได้เลยหรือไม่
๓.ในประมวลกฎหมาย
ควรกำหนดอำนาจในการออกข้อบัญญัติของท้องถิ่น ให้สามารถออกข้อบัญญัติท้องถิ่น
ได้ครอบคลุมในกิจการต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถกำหนด ควบคุมดูแล
กิจการในท้องถิ่น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น