วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2566

สัมภาษณ์พิเศษ: 'ถวิล ไพรสณฑ์' ผ่าร่างกฎหมาย กระจายอำนาจท้องถิ่น ฉบับก้าวไกล

 

สัมภาษณ์พิเศษ: 'ถวิล ไพรสณฑ์' ผ่าร่างกฎหมาย กระจายอำนาจท้องถิ่น ฉบับก้าวไกล 
สยามรัฐ  ฉบับวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖
          หมายเหตุ : "ถวิล ไพรสณฑ์" สมาชิกพรรคก้าวไกล และ 1 ในคณะทำงานการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น พรรคก้าวไกลให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ "สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์" ทางช่องยูทูบออกอากาศเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566
          โดยถวิล ได้อธิบายถึงความสำคัญและสาระของร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ร่างโดยพรรคก้าวไกล ทั้งเรื่องของการกำหนดงบประมาณรายได้ รวมทั้งการเลือกตั้ง "นายกจังหวัด" ซึ่งถือเป็นโมเดลที่น่าสนใจ
          ร่าง พ.ร.บกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของพรรคก้าวไกลที่เสนอต่อสภาฯ มีหลักการที่จะทำให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าเรื่องของการกระจายอำนาจเข้าไปสู่ความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
          ความจริงแล้วกฎหมายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมีมาตั้งแต่ปี2542 หลังจากมีรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อเจตนารมณ์ตอนนั้นว่าทำอย่างไร
          จึงให้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งได้ผลจริงๆ ในส่วนของกฎหมายหลักขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย อบจ. เทศบาล อบต.ไม่ได้พูดไว้ในเรื่องการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ส่วนท้องถิ่นเพราะฉะนั้นส่วนท้องถิ่นก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่ตลอด ในขณะนั้นพอมีรัฐธรรมนูญปี 2540
          ช่วงนั้น เรื่องการกระจายอำนาจนั้นมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ในขณะนั้นจำเป็นต้องเสนอกฎหมายเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งมีคณะกรรมการกระจายอำนาจ มีคณะกรรมการชุดหนึ่งซึ่งเป็นชุดใหญ่ เป็นผู้กำกับดูแลมีความสำคัญมากในเรื่องนี้เพราะเป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคลากรมาจากส่วนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายกฯ ส่วนใหญ่มอบให้รองนายกฯ เสร็จแล้วก็ในกฎหมายฉบับนี้ ได้เขียนไว้ชัดเจนว่ารายได้ของท้องถิ่นภายใน 5 ปีหลังจากปี 42 จะต้องไม่น้อยกว่า 30 ตัวเลขอาจจะผิดนิดหน่อย
          สัดส่วนรายได้สุทธิของรัฐบาลไม่น้อยกว่า 35%
          จะมีขั้นตอนว่าทำอย่างไรจึงให้กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ โอนอำนาจเหล่านี้ไปให้ส่วนท้องถิ่น ซึ่งในช่วงที่มีการบริหารงานมาคณะกรรมการ แม้จะมีรองนายกฯ เป็นประธานก็ตาม แต่พอคณะกรรมการกระจายอำนาจมีมติอะไรก็ตาม ได้ส่งไปให้ ครม. จากนั้น ครม.ก็ส่งไปให้หน่วยงานต่างๆ ว่าจะต้องกระจายอย่างนั้นอย่างนี้ ภายในเท่านั้นแต่ปรากฏว่า หน่วยงานเหล่านั้นหวงอำนาจจึงไม่พยายามที่จะกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น โดยอ้างว่าท้องถิ่นไม่พร้อม
          ส่วนใหญ่ปัญหาอยู่ว่าที่ ถ้าโอนงานกันแล้ว จะต้องโอนเงินไปให้ด้วย ดังนั้นที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ งานบางอย่างก็ยังโอนให้ แต่เงินงบประมาณไม่ให้ ทางท้องถิ่นก็มีปัญหาว่าจะเอางบประมาณไหนมาจ่ายเป็นเงินเดือน ค่าใช้จ่ายต่างๆเหมือนที่หน่วยงานเดิม ได้อยู่แล้ว ซึ่งการกระจายอำนาจ งบประมาณได้ประมาณ 26% หรือ 29% ทำให้ท้องถิ่นโตไม่ได้ ทางพรรคก้าวไกลโดยผมในฐานะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มายาวนาน ก็เห็นด้วยกับพรรคก้าวไกลที่จะเสนอเรื่องนี้ และพรรคก็มีคณะทำงานร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาโดยหลักการนั้นให้มีการกระจายอำนาจ แล้วต้องทำหน่วยงานที่จัดการอำนาจให้กับท้องถิ่น ต้องกระจายทั้งานและงบฯ แต่ในตัวกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนบังคับอะไร เนื่องจากกฎหมายฉบับเดิมไม่ได้เขียนไว้ พูดแต่เรื่องงาน ไม่พูดถึงเรื่องงบประมาณ เพราะฉะนั้นท้องถิ่นจึงไม่พัฒนา ไม่โตเท่าที่ควร ทั้งที่ท้องถิ่นก็มีบทบาทหลายต่อหลายอย่าง
          อย่างกรณีเวลาเกิดอุบัติภัยต่างๆ ท้องถิ่นเข้าไปถึงก่อนทุกครั้ง แต่ไปเฉพาะกำลังคน แต่เงินก็ไม่ให้แบบนี้เป็นต้น กลับไปรวมอยู่ที่กรมป้องกันภัยฯของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด เพราะฉะนั้น พรรคก้าวไกลเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งในตัวกฎหมายใหม่จะต้องให้ชัดเจนกำหนดว่า รายได้ งบประมาณ รายได้ของท้องถิ่นจะต้องได้เท่าใด ซึ่งคณะกรรมการประชุมกันแล้วว่าต้องกระจายงานไปให้ท้องถิ่น พร้อมทั้งเงินด้วยรัฐบาลลดเงินจากหน่วยงานของรัฐตรงนี้ส่วนกลางไปให้ท้องถิ่น ตามไปด้วย ความสำคัญอยู่ตรงนี้ประเด็นเดียวเท่านั้นเอง
          ในส่วนของร่างกฎหมายมีประเด็นที่หลายฝ่ายมีความกังวลว่าจะกลายเป็นเรื่องของการขัดหลักการความเป็นรัฐเดียว เรื่องของการเป็นรัฐอิสระ หรือไม่ ในเรื่องที่มีข้อเสนออยู่ในร่าง พ.ร.บ.ขั้นตอนการกระจายอำนาจของพรรคก้าวไกล
          เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่กระทรวงมหาดไทยพยายามแย้งตลอดเวลาและยิ่งตอนนี้ เมื่อจะต้องให้ผู้ว่าฯเป็นCEO ยิ่งถอยหลังเข้าคลองไปอีกซึ่งไม่ได้รับการพัฒนาอะไรทั้งสิ้นอันนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ คืออำนาจทุกอย่างจะต้องพึ่งจังหวัดหมดจริงๆ แล้วหน่วยงานเหล่านั้น ไม่ต้องการขึ้นตรงกับผู้ว่าฯเพราะว่าผู้ว่าฯก็มาจากกระทรวงมหาดไทย เขาถือว่าเป็นกระทรวงอิสระอย่างหนึ่งและเมื่อเขาเป็นรัฐอิสระ ไม่ใช่รับเพราะว่ามีอำนาจกำกับอยู่ และอีกอย่างประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว
          อย่างเช่นญี่ปุ่นมีการเลือกตั้งมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มี 47 จังหวัด แต่ละจังหวัดผู้ว่าฯมาจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น ทำไมไม่เรียกว่าไม่ใช่รัฐเดี่ยว ส่วนอังกฤษมีพระมหากษัตริย์ ไม่มีจังหวัด แต่มีเมือง เมืองแมนเชสเตอร์ เมืองลิเวอร์พูล เขาก็เลือกตั้งนายกฯของเมืองต่างๆ ในยุโรปเขาทำกันทั้งนั้นแม้จะมีพระมหากษัตริย์ แต่ก็มีการเลือกตั้ง ส่วนกระทรวงมหาดไทยที่ค้านหัวชนฝา ก็มีเครื่องมือของเขาอีกส่วนหนึ่ง อย่างกำนันผู้ใหญ่บ้านเขาก็ใช้มวลชนมาคัดค้านบ้างในบางครั้งบางคราวกระทรวงต่างๆ ก็ไม่อยากโอนอำนาจนี้ให้กับท้องถิ่น เพราะว่ามีงบประมาณ
          ทั้งนี้การมีระบบแบบรวมศูนย์อำนาจนั้นยิ่งรวมศูนย์อำนาจมากกว่าเท่าไหร่การคอร์รัปชันจะมีมากฉะนั้นทั่วโลกก็พยายามที่จะไม่ให้มีการรวมศูนย์อำนาจอันนี้คือเจตนารมณ์
          ที่กำลังจะเปลี่ยนโครงสร้างของการบริหารจากเดิม หมายความว่าการมีนายกจะเท่ากับว่าจะมีผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้ง 2 คนส่วน นายก อบจ.จะไม่มีแล้ว
          ใช่ครับ จะไม่มีแล้ว
          นายก อบจ.กับผู้ว่าฯก็คือจะมารวมกัน จากเดิมที่เคยแบ่งบทบาทและความรับผิดชอบกัน ก็จะมาอยู่ที่นายกจังหวัดเพียงท่านเดียว
          ถูกต้องครับ แล้วก็จะมีข้าราชการประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นของส่วนกลางโดยเฉพาะ อย่างเช่นเขตต่างๆซึ่งเขตสรรพากรรวมหลายจังหวัดเป็นเขต ป่าไม้เขต อันนี้อาจจะไม่ได้มาขึ้นกับนายกจังหวัด เพราะขึ้นส่วนกลางกระทรวง เพราะเป็นงานสรรพากรเขตต่างๆ ขึ้นโดยตรงที่ส่วนกลางอยู่แล้ว ตรงนั้นยังคงอยู่ แต่อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดปัจจุบันก็มาเป็นนายกส่วนจังหวัดโดยที่งานต่างๆ ที่เป็นของผู้ว่าฯจังหวัดเดิมก็มาเป็นของนายกจังหวัดผู้ว่าฯ ถ้าจะมี ก็อาจจะขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้มีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็คงมีการถกเถียงกันพอสมควร มีการคัดค้านพอสมควรแน่นอน
          ก่อนหน้านี้รัฐบาล หรือฝ่ายใดขานรับกับแนวทางนี้หรือไม่ และตอนนี้ขั้นตอนกระบวนการไปถึงไหนในเรื่องของร่างกฎหมายกำหนดแผนในการกระจายอำนาจ
          ตามรัฐธรรมนูญกฎหมายที่สส.เสนอ พรรคการเมืองนำเสนอถ้าเกี่ยวกับการเงินต้องให้นายกฯลงนาม แล้วเข้ามาสภาฯ เสนอในพรรคการเมืองเสนอประธานสภา ประธานสภา ก็ต้องพิจารณาว่าเกี่ยวการเงินหรือไม่ ถ้าเกี่ยวการเงินต้องส่งไปให้นายกฯ และเมื่อนายกฯ รับ หากเกี่ยวข้องกับกระทรวงไหนก็ส่งให้กระทรวงนั้นๆให้ความเห็นมาก่อนกรณีนี้เกี่ยวกับหลายกระทรวงก็ต้องส่งมาทุกกระทรวง ให้เขาพิจารณาต้องใช้เวลาอย่างนี้เป็นต้น
          เราจะได้เห็นโฉมหน้าเมื่อใดหากให้ประเมิน
          ผมว่านายกฯในรัฐบาลนี้ไม่มีทาง และยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ ไม่มีทางเลย เขาใช้ระบบรวมศูนย์อำนาจมากกว่าเพราะนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่ค่อยเห็นด้วย เนื่องจากงบฯของรัฐบาลแต่ละปีจะลดลงไป สส.ก็กำกับดูแลไม่ได้ ถ้าหากว่าเงินส่วนหนึ่งกระจายรายได้ท้องถิ่น เพราะมีสภาท้องถิ่นเป็นผู้กำกับดูแล ก็เลยหมดหมดผ่านพ้นมือของ สส. ยิ่งรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องการกระจายอำนาจเลย พูดแต่ว่า CEO มันเป็นแนวความคิดของคุณทักษิณ ในสมัยก่อนที่พยายามรวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางนี่คือปัญหา เพราะฉะนั้นผมคิดแล้วมันยาก ที่นายกฯ จะเซ็นมาให้ถ้าไม่เซ็นมาให้ก็ไม่มีทาง ก็เข้าสภาไม่ได้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น