วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นไปตามคะแนนประเมิน

 คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๑๙๘/๒๕๖๓

                        ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาลตำบลท่าแลง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (นายกเทศมนตรีตำบลท่าแลง) พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่สอง ให้ผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเดิมผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๒ เลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ผู้ฟ้องคดีหนึ่งขั้น ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรอง ผลการประเมินแล้ว และเป็นไปตามข้อ ๒๔๒ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดเพชรบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ แต่ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กลับมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการทบทวนการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานเทศบาล ซึ่งคณะกรรมการทบทวนฯ ได้ปรับปรุงการพิจารณาผลการเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานเทศบาล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่สอง ใหม่จากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำสั่งลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ยกเลิกคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนฉบับเดิม และให้ผู้ฟ้องคดีได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนเพียงครึ่งขั้น ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และมีหนังสือร้องทุกข์ต่อประธานคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดเพชรบุรี แต่ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณา ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ เดือนละ ๔๕๐ บาท โดยผู้ฟ้องคดีจะเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. ๒๕๖๙ รวมอายุราชการที่เหลือ ๑๗ ปี จึงได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๙๑,๘๐๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (เทศบาลตำบลท่าแลง) ชดใช้เงินค่าเสียหายเป็นเงิน ๙๑,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฟ้องคดี

                             ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดเพชรบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาลลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๕ จะเห็นได้ว่า การเลื่อนขั้นเงินเดือนให้พนักงานเทศบาลเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยพนักงานเทศบาลจะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนเพียงใด ต้องพิจารณาจากผลการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของผู้นั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ท.จ. กำหนด ตามข้อ ๒๒๕ และข้อ ๒๒๗ของประกาศดังกล่าว ซึ่ง ก.ท.จ. ได้กำหนดแบบประเมินผลการปฏิบัติราชการของพนักงานเทศบาล โดยกำหนดให้มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน ประกอบ ด้วยผลการดำเนินงานและคุณลักษณะการปฏิบัติงาน โดยแบ่งผลการประเมินออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ๑) ผลการประเมินดีเด่น(ร้อยละ ๙๐ - ๑๐๐) ควรเลื่อนเงินเดือน หนึ่งขั้น ๒) ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับได้ (ร้อยละ ๗๐ - ๘๙)ควรเลื่อนเงินเดือน ครึ่งขั้น ๓) ผลการประเมินต้องปรับปรุง (ต่ำกว่าร้อยละ ๗๐) ไม่ควรเลื่อนขั้นเงินเดือนเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานครึ่งปีหลังของผู้ฟ้องคดี เพื่อพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่สอง ตามแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาล โดยผู้ฟ้องคดีได้ ๑๕๑ คะแนน หรือร้อยละ ๗๕.๕๐ อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และผู้ฟ้องคดียอมรับว่าได้รับคะแนนประเมินร้อยละ ๗๕.๕๐ มาตั้งแต่การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามคำสั่งแรก กรณีจึงต้องฟังว่าผลการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีในครึ่งปีหลังเป็นไปโดยถูกต้อง และผู้ฟ้องคดีได้คะแนนประเมินร้อยละ ๗๕.๕๐ อยู่ในข่ายที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่สอง ครึ่งขั้น ตามข้อ ๒๓๐ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัดเพชรบุรี เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล ลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๕ เท่านั้น โดยไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ผู้ฟ้องคดีจะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้น ตามข้อ ๒๓๑ ของประกาศดังกล่าว และแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ได้นำระบบเปิดมาใช้ประกอบการพิจารณา เลื่อนขั้นเงินเดือน ไม่เคยแจ้งผลการประเมินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทราบก่อนออกคำสั่ง ไม่ให้โอกาส ผู้ฟ้องคดีได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเป็นธรรม อันเป็นการไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในประกาศเดียวกันนั้น ทำให้อาจต้องประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีครึ่งปีหลังใหม่ก็ตาม แต่เมื่อผลการประเมินของผู้ฟ้องคดีที่ได้รับคะแนนประเมินเพียงร้อยละ ๗๕.๕๐ ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนเพียงครึ่งขั้นแล้ว แม้จะมีการประเมินและออกคำสั่งใหม่ ผู้ฟ้องคดีก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนมากกว่าเดิม ดังนั้น คำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนครึ่งขั้นดังกล่าว แม้จะฟังว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย และไม่เป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้ฟ้องคดี ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย

                                  พิพากษายืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น