วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

มองมุมใหม่: อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจ

มองมุมใหม่: อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจ
กรุงเทพธุรกิจ  ฉบับวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

          ชำนาญ จันทร์เรือง
          เรื่องของการกระจาย อำนาจของไทย เราได้หยิบยกมากล่าวถึงและพยายามขับเคลื่อนมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรงก็ดี หรือการพยายามที่จะให้เชียงใหม่มีกฎหมายเป็นของตนเองในรูปแบบของการเป็นมหานครก็ดี
          จนต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2540 การกระจายอำนาจ ก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง จนได้มีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ พ.ศ.2542 ที่มีหลักการสำคัญให้มีการกระจายรายได้และถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น (อปท.) แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีการ รัฐประหาร 2549  และมีรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงสัดส่วนรายได้ที่จะต้องแบ่งให้แก่ อปท.อีกต่อไป
          แต่อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 281 ก็ยังเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นได้ปกครองตนเอง โดยท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจัดตั้งเป็น อปท.ได้ และมาตรา 78 (3) ที่บัญญัติให้ รัฐมีหน้าที่ "กระจายอำนาจให้ อปท.พึ่งตนเอง และตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้ อปท.มีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่น ให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็น อปท.ขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น"
          จนเป็นที่มาของการเสนอร่าง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร อันเป็นต้นแบบของ "จังหวัดจัดการตนเอง" กว่า 50 จังหวัดต่อรัฐสภาโดยภาคประชาชน และตามมาด้วยการยกร่าง พ.ร.บ.บริหารจังหวัดปกครองตนเอง โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ในสมัยนั้น) เพื่อให้ใช้เป็นกฎหมายกลาง
          แต่น่าเสียดายที่ทั้งร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร ที่เสนอไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2556 และการพยายามรณรงค์ร่าง พ.ร.บ.บริหารจังหวัดปกครองตนเอง ใน ต้นปี 2557 ต้องมีอันเป็นไปด้วยเหตุแห่งการ รัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.2557 แล้วรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนดังเช่นรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ทำให้ผู้คนที่มุ่งหวังที่จะให้มีการกระจายอำนาจ มองไม่เห็นทางที่จะเดินต่อไป
          แต่เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2561 พรรค อนาคตใหม่ได้เสนอร่างข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ปี 2561 เสนอต่อที่ประชุมเพื่อ จัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อให้การรับรอง โดยในหมวด 1 ลักษณะ 2 ว่าด้วยนโยบายของพรรคการเมือง ข้อ 7 (3) นโยบายด้านการ กระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ได้กำหนดไว้ว่า
          "พรรคอนาคตใหม่สนับสนุนการ กระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินให้ อปท.อย่างแท้จริง อปท.ทุกรูปแบบต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่น กำหนดให้การจัดทำบริการสาธารณะในแต่ละพื้นที่เป็นอำนาจของ อปท.เป็นหลัก และราชการส่วนกลางมีอำนาจกำกับดูแล อปท.ได้เฉพาะเท่าที่กฎหมายกำหนด ในกรณีที่ราชการส่วนกลางเห็นว่าข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือการดำเนินการใดของ อปท.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ราชการส่วนกลางไม่อาจออกคำสั่งยับยั้งได้ แต่ให้ฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อพิจารณาตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือการดำเนินการนั้น
          พรรคอนาคตใหม่จะผลักดันให้เกิดการ กระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ให้แก่ อปท. โดยการพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินเป็นขั้นตอนเพื่อ มุ่งสู่การยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคในที่สุด ให้คงเหลือเพียงราชการส่วนกลางและราชการส่วนท้องถิ่น ในส่วนของราชการส่วน ท้องถิ่นจะแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด และระดับเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล
          ในช่วงขั้นตอนระหว่างการเปลี่ยน ผ่านไปสู่การยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค พรรคอนาคตใหม่จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ต่างๆ เพื่อลดทอนอำนาจของราชการ ส่วนกลาง และราชการส่วนภูมิภาคที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดทำ บริการสาธารณะของ อปท. โดยเฉพาะ อย่างยิ่งอำนาจในการอนุมัติอนุญาต ต่างๆ พรรคอนาคตใหม่จะสนับสนุนให้มี อปท.รูปแบบพิเศษเพิ่มมากขึ้น โดย พิจารณาจากความพร้อมของท้องถิ่น และความสอดคล้องกับนโยบายของ ประเทศ
          พรรคอนาคตใหม่จะผลักดันให้ อปท.จัดเก็บภาษีและมีรายได้มากขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ของตน โดยต้องกำหนดสัดส่วนการแบ่งภาษีระหว่างราชการส่วนกลางกับ อปท.เสียใหม่ และให้ อปท.มี อำนาจจัดเก็บภาษีได้เอง โดยไม่ต้องให้ราชการส่วนกลางเป็นผู้จัดเก็บแล้วจึง แบ่งโอนกลับมาให้ อปท. นอกจากนี้ อปท.ต้องมีรายได้จากแหล่งอื่นนอกจากภาษี ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่าบริการหรือรายได้จากวิสาหกิจของ อปท.
          พรรคอนาคตใหม่ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ คนในท้องถิ่นย่อมมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของ อปท. มีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ของ อปท. การออกเสียง ประชามติในระดับท้องถิ่น ตลอดจนการตรวจสอบการทำงานของ อปท."
          จากข้อบังคับดังกล่าวทำให้บรรดา  ผู้ขับเคลื่อนในเรื่องของการกระจายอำนา และผู้ที่อยากเห็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ถูกทำให้หยุดชะงักและพยายามที่จะทำให้ถอยหลังกลับไปไกลกว่าที่ผ่านมา
          อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งปวงนี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่มี พ.ร.บ.เกิดขึ้นมารองรับ ไม่ว่าจะเป็นในชื่อหรือ รูปแบบใดก็ตาม ซึ่งโอกาสในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะนี้โดยภาคประชาชนได้ถูกปิดลงโดยสิ้นเชิง เพราะไม่เข้าเงื่อนไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ว่ากฎหมายที่จะ เสนอโดยการเข้าชื่อของภาคประชาชนจะต้องเสนอในหมวดสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของรัฐเท่านั้น จึงเหลือเพียงการเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้โดยคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนตั้งแต่ 20 คนขึ้นไปเท่านั้น
          ฉะนั้น การกระจายอำนาจจะมีผล ในทางปฏิบัติก็ย่อมขึ้นอยู่กับการที่พรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคใดก็ตามที่มีแนวนโยบายเช่นนี้ได้รวมกันเป็นเสียงข้างมากในสภา เพื่อที่จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะเช่นนี้ผ่านออกมาบังคับใช้ เพราะโอกาสที่ภาคประชาชนที่จะเสนอกฎหมายในลักษณะนี้ได้ถูกปิดลงไปแล้ว
          อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจย่อมขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนโดยแท้ ที่จะผลักดันให้พรรคที่มีแนวนโยบายเช่นนี้ซึ่งมีอยู่หลายพรรคได้เข้าไปมีสิทธิมีเสียงในสภา ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อไปข้างหน้านี้นั่นเอง
          อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจอยู่ในมือท่านแล้วครับ
          "กฎหมายที่จะเสนอโดยการเข้าชื่อ ของภาคประชาชนจะต้องเสนอในหมวด สิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของรัฐเท่านั้น"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น