วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

ลด 'พิษสุนัขบ้า' สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย

ลด 'พิษสุนัขบ้า' สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย
มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑

          วารุณี สิทธิรังสรรค์
          waruneecat11@gmail.com
          กลายเป็นข่าวดังในช่วงที่ผ่านมา หลังจากพบว่าสุนัขตายจากโรคพิษสุนัขบ้ามากขึ้นกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลของกรมปศุสัตว์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม- 5 มีนาคม 2561 พบสุนัข-แมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากว่า 320 ตัว จาก 36 จังหวัด พื้นที่โรคขยายวงออกไปยังตำบล อำเภอ หรือจังหวัดข้างเคียง ขณะที่ข้อมูลระหว่างปี 2558-2560 เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พบโรคโดยเฉลี่ย 40-50 ตัวต่อเดือน แต่ในปี 2561 พบเดือนละ 155-165 ตัว นับเป็นปีที่พบสุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้า พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เรียกว่าสูงกว่าข้อมูลเฉลี่ย 3 ปี มากกว่า 3 เท่า
          จากการสอบถาม นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้คำตอบว่า แม้สถานการณ์ในสัตว์ที่พบหัวสุนัขมีเชื้อพิษสุนัขบ้าจะเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนๆ เพราะช่องว่างที่มีการว่างเว้นการฉีดวัคซีนในสัตว์ หรือจะเป็นเพราะการค้นหาสัตว์ป่วยเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือ สถานการณ์ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าไม่ได้เพิ่มเติม ซึ่งยังสามารถควบคุมได้ เนื่องมาจากทุกภาคส่วนได้มีการสนองพระปณิธานตามโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งแต่ละภาคส่วนได้มีการดำเนินการตามหน้าที่และภารกิจของตนเอง เห็นได้จากตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าลดลง จากปี 2559 มีผู้เสียชีวิต 14 ราย ปี 2560 มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และในปี 2561 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตยืนยันติดเชื้อพิษสุนัขบ้า 2 ราย เหลืออีก 1 ราย อยู่ระหว่างตรวจเชื้อยืนยัน
          "แม้ผู้ป่วยจะไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญจะต้องมีการดำเนินการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนว่า หากถูกกัด เลียแผล หรือน้ำลายสัตว์ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทันที และโรคนี้ไม่ได้พบได้แค่สุนัข แมว แต่พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ ด้วย" นพ.สุวรรณชัยกล่าว
          อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขผู้ป่วยที่ไม่เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่จำนวนสัตว์ที่พบมากก็ล้วนมาจากความร่วมมือโดยเฉพาะกรมปศุสัตว์ และองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ที่มีการทำงานเชิงรุกค้นหาสัตว์ที่เสี่ยง รวมไปถึงกรมปศุสัตว์ที่กล้าประกาศเขตระบาดโรคพิษสุนัขบ้า เพราะทำให้เกิดการตื่นตัวและเฝ้าระวังป้องกันมากขึ้น
          แน่นอนว่าสิ่งสำคัญจะต้องมีการดำเนินการควบคุม ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะจากตัวเลขสุนัขที่ตายจากโรคนี้ ย่อมต้องทำให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องทำงานเชิงรุก ทั้งการสร้างความตระหนักให้คนเข้าใจว่าหากถูกสุนัข หรือแมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด ต้องรีบฉีดวัคซีนป้องกัน ขณะที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงก็ต้องมีความรับผิดชอบในการนำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะข้อมูลที่ผ่านมาพบว่ากว่าร้อยละ 50 สุนัขที่ตายจากโรคพิษสุนัขบ้าเป็นสุนัขที่มีเจ้าของ จึงจำเป็นต้องมีการสร้างความตระหนักให้คนเข้าใจเรื่องนี้ โดยในส่วนของ สธ.จะมีหน้าที่หลักในเรื่องของให้ความรู้ประชาชน และการจัดบริการวัคซีนป้องกันโรคในคน
          นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า มีการดำเนินการมาตลอด โดยเฉพาะโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในส่วนของ สธ. โดยกรมควบคุมโรคดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2563 ซึ่งยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกรมควบคุมโรค คือ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และดูแลรักษาโรคพิษสุนัขบ้าในคน มีเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อไม่มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า
          สำหรับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และดูแลรักษาโรคพิษสุนัขบ้าในคน กรมควบคุมโรคเป็นแกนหลักในการดำเนินงาน โดยใช้กลยุทธ์ 6 ด้าน ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 เฝ้าระวังโรคโดยใช้ข้อมูลครอบคลุมอย่างน้อย 5 มิติ ทั้งข้อมูลทางห้องปฏิบัติการ การเกิดโรคในสัตว์ ในคน และพฤติกรรม ความรู้ประชาชน กลยุทธ์ที่ 2 ป้องกันโรคในคนโดยส่งเสริมให้มีวัคซีนอย่างเพียงพอ และพัฒนาให้บุคลากรมีความรู้ในการ ดูแลประชาชนอย่างถูกต้อง
          กลยุทธ์ที่ 3 ควบคุมเมื่อเกิดโรคในคน โดยใช้มาตรการ 1-2-3 ควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว เน้นค้นหาติดตาม ผู้สัมผัสโรคมารับวัคซีน 100% โดยใช้ "อสม.เคาะประตูบ้าน" กลยุทธ์ที่ 4 บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันรวมทั้งส่งเสริมการนำกฎหมายมาบังคับใช้ กลยุทธ์ที่ 5 ประชาสัมพันธ์กับประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลคนเอง และกลยุทธ์ที่ 6 ศึกษาวิจัยเพื่อส่งเสริมและพัฒนางานด้านอื่นๆ
          จากเป้าหมายตามพระปณิธาน คือ ไม่มีผู้เสียชีวิตในปี 2562 กรมควบคุมโรค สธ.ได้ดำเนินงานอย่างเข้มข้น เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของพื้นที่ จึงจัดแบ่งพื้นที่เป็น 3 ระดับ ตามเกณฑ์ ดังนี้
          1.พื้นที่สีแดง หรือ จังหวัดเสี่ยงใช้เกณฑ์ คือ 1.1.มีผู้เสียชีวิต 3 ปีย้อนหลัง 1.2.มีสุนัขบ้ามากกว่า 50% ของอำเภอ หรือ 1.3.เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ต้องมีการดำเนินงานบูรณาการครอบคลุมทุกอำเภอมี 33 จังหวัด จากข้อมูลการเกิดโรคทั้งในปี 2560 และปี 2561 พบว่าเกิดในพื้นที่สีแดงทั้งสิ้น จึงขอให้ทุกจังหวัดเร่งรัด การดำเนินงานให้เข้มข้นต่อไป
          2.พื้นที่สีเหลือง หรืออำเภอเสี่ยง คือ อำเภอที่พบโรคพิษสุนัขบ้า 1 ตัวขึ้นไป มี 21 จังหวัด 51 อำเภอ โดยอำเภอที่พบโรคต้องดำเนินการแผนตามมาตรการเชิงรุกที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
          และ 3.พื้นที่สีฟ้า หรือพื้นที่เฝ้าระวัง เป็นพื้นที่ยังไม่พบโรค มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่ปลอดโรคต่อไป แนะนำให้ทำแผนเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดโรค
          ยังมีข้อค้นพบที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากประชาชนเข้าใจผิดหรือปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง คือ ร้อยละ 60 คิดว่าโรคพิษสุนัขบ้าสามารถรักษาให้หายได้ ร้อยละ 33.7 ไม่ทราบว่าหากฉีดวัคซีนไม่ครบชุด ไม่ตรงตามกำหนดนัด อาจตายได้ ถ้าสุนัขที่มากัดเป็นสุนัขบ้า และร้อยละ 32.1 ไม่ทราบว่าการล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง และทายาเบตาดีน ช่วยลดเชื้อที่บาดแผลได้ จะเห็นได้ว่าทุกข้อเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต ประกอบกับการพบสุนัขบ้าระบาดมากขึ้น
          "จึงขอฝากเตือนประชาชน เมื่อสุนัข-แมวกัด ข่วน เชื้อจะยังติดอยู่ที่บริเวณบาดแผลต้องรีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ทายาเบตาดีน จากนั้นให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วเพื่อวินิจฉัยว่าต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ และวัคซีนชนิดนี้มีลักษณะพิเศษ คือ ต้องรับเป็นชุดจึงจะป้องกันโรคได้ ดังนั้นหากแพทย์นัดหมาย จำเป็นต้องไปรับให้ตรงตามนัดทุกครั้ง โปรดระลึกว่าวัคซีนจะป้องกันโรคได้ผลเมื่อฉีดก่อนที่เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาท หากรอจนเชื้อเข้าไปแล้ว จะไม่มีทางรักษาต้องเสียชีวิตทุกราย" นพ.สุวรรณชัยกล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น