รายงานพิเศษ: แผน"ล้างบาง"ทุจริตนมโรงเรียน ลดอำนาจ"ก.เกษตรฯ-อ.ส.ค."เข้ม ! ขั้นตอนส่งมอบ |
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 องศา ฉบับวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ |
ใหม่ โคราช ในเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะสรุปผลรายงานผลการดำเนินการ "ป้องกันการทุจริต" กรณีโครงการอาหารเสริม นมโรงเรียน เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นการนำข้อ เสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาบูรณาการกัน จากมติ ครม. เมื่อปลายเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ขีดเส้น 30 วัน คาดว่า ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง พาณิชย์ มหาดไทย สาธารณสุข ศึกษาธิการ อุตสาหกรรม สภาพัฒน์ คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (มิลค์บอร์ด) ไปศึกษาแนวทางและความเหมาะสม โดยให้กระทรวงเกษตรฯ จัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวมส่งให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี อนุกรรมการชุดนี้ มี นายสัตวแพทย์สรวิช ธานีโต ผู้ตรวจราชการและโฆษกกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธาน หลังจากหารือกัน เห็นว่า "ป.ป.ช." ยังแสดงความกังวลในเรื่อง "คุณภาพน้ำนม" ที่อาจลดลง และคุณภาพนมจะเหมือนกันทุกที่หรือไม่ โดยเฉพาะโรงนมหรือผู้ประกอบการ ที่ได้ "โควตา" จากมิลค์บอร์ด) แต่ จากผลการตรวจสอบคุณภาพ ก่อนที่จะมีข้อเสนอของ ป.ป.ช.ออกมา พบว่า "คุณภาพน้ำนมมีปรับปรุงดีขึ้นแล้ว คุณภาพเป็น "พรีเมียม" แต่ตางจาก "คุณภาพนมเพื่อการพาณิชย์" ยังสู้ไม่ได้ เนื่องจาก ผู้ประกอบการ ได้ทำ "เอ็มโอยูจับคู่กับฟาร์มโคนม" และสอดรับกับในพื้นที่ที่มีการจัดส่ง "ไม่มีปัญหานมเททิ้ง" และยังย้ำว่า "ช่วงปิดเทอม" เด็กนักเรียนจะต้องได้รับนม 30 กล่องกลับบ้านทุกคน ย้อนกลับมาดู ข้อเสนอแนะที่ ป.ป.ช. ส่งมายังรัฐบาลพิจารณาโดยละเอียด เริ่มจากมอบหมายให้ "กระทรวงศึกษาธิการ" เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการฯ อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง เมื่อสิ้นสุดภาคเรียน ทั้งนี้ ในกระบวนการของการวัดผลสัมฤทธิ์หรือผลสำเร็จของโครงการ "ไม่ควรให้หน่วยงาน" ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือหน่วยงานซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติ (Operator) เป็นผู้ดำเนินการเอง ทั้งหมด แต่ควรพิจารณากำหนดให้มีการติดตามและประเมินผล โครงการฯ ในรูปแบบของคณะกรรมการร่วม ซึ่งควรประกอบไปด้วยผู้แทนจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐซึ่งมาจากหน่วยงานต่างๆ นอกเหนือจากหน่วยงาน ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงเรียน ภาคเอกชน เกษตรกร ผู้แทน ภาคประชาชนหรือผู้บริโภค ตลอดจนสื่อมวลซน เพื่อให้การตรวจสอบถ่วงดุลมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ในทางปฏิบัติมากขึ้น โดยการปรับปรุงรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้ โครงการฯ โดยให้กระทรวงเกษตรฯ รวบรวมและจัดทำการรายงาน ผลการดำเนินงาน โดยมีการประเมินผล เสนอคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ผลการดำเนินงานได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ป.ป.ช.ยังเสนอหน่วยงาน เช่น ให้ "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์" ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพิจารณาให้มีการทบทวนแนวทางการบริหารจัดการโครงการฯ ทั้งระบบ โดยปรับปรุงให้มี ความเป็นปัจจุบัน เหมาะสมกับสภาพปัญหาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริหารจัดการนมโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพ ลดซ่องว่างและโอกาสในการทุจริตของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจัดสรรสิทธิในการจำหน่ายให้แก่ ผู้ประกอบการ เพื่อลดการผูกขาด และให้มีการทบทวนบทบาท ของหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง ผู้ซื้อกับผู้ขาย ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติหน้าที่สองบทบาทในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ ในการศึกษาและทบทวนแนวทางการบริหารจัดการ โครงการฯ นั้น ควรกำหนดลำดับความสำคัญและกรอบในการวิเคราะห์ให้ชัดเจน เนื่องจากผลลัพธ์ของแต่ละกรณีมีความแตกต่างกัน วิธีการบริหารจัดการอาจจะไม่เหมือนกัน เช่น การส่งเสริมหรือ ช่วยเหลือ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม การส่งเสริมการผลิตนมในระบบอุตสาหกรรมนม หรือการให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนม ที่มีคุณภาพ เป็นต้น ยังเสนอให้ศึกษาและรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อผู้ประกอบการ ผลการดำเนินงานในแต่ละภาคเรียนของผู้ประกอบการ สถิติการทำผิดเงื่อนไข และหลักเกณฑ์ที่กำหนดสถิติตัวเลขของการผิดสัญญาและเบี้ยปรับของผู้ประกอบการในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งควรศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่ามีการจ้างให้บริษัทอื่นผลิตนมแทนตนเอง โดยที่โรงงานที่รับจ้างนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงาน หรือผลิตนมโรงเรียน หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการและบทลงโทษ รวมทั้งการพิจารณา คัดเลือกผู้ประกอบการใบภาคเรียนถัดไป เสนอให้พิจารณาแก้ไขและเพิ่มอัตราโทษของความผิดตามประกาศ มิลค์บอร์ด รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการทุจริตในการดำเนินโครงการฯ โดยมีการกำหนดบทลงโทษให้ครอบคลุมทุกกระบวนการเสนอให้พิจารณาศึกษากระบวนการ จัดซื้อนมโรงเรียนโดยให้โรงเรียนเป็นผู้สั่งซื้อได้โดยตรงผ่านระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ระบบการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-maket) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) เพื่อเป็นการลดปัญหาเรื่องคุณภาพนมที่เกิดขึ้นจากการจัดซื้อนมโรงเรียนผ่านตัวกลาง ทั้งนี้ ผู้ดำเนินการจัดซื้อ คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และโรงเรียนแต่ละแห่ง จะต้องมีการจัดทำรายละเอียดข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง หรือ Terrn of reference (TOR) ให้มีความชัดเจนและครอบคลุม เพื่อให้สามารถจัดซื้อนมโรงเรียนไต้ตรงตามความต้องการ และลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด ในขั้นตอนต่างๆ โดยเฉพาะการขนส่งและการตรวจรับผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งนมโรงเรียนที่มีคุณภาพและส่งถึงมือเด็กนักเรียนตามระยะเวลาที่กำหนด เสนอให้พิจารณาทบทวนและปรับปรุง องค์ประกอบของ มิลล์บอร์ด โดยกำหนดให้หน่วยงานที่ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในระบบการบริหารจัดการนมโรงเรียน เช่น กรมปศุสัตว์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายเลขานุการ แทนองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงนโยบายไปสู่หน่วยปฏิบัติ และลดความเสี่ยงในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานซึ่งเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย และเป็นหน่วยปฏิบัติในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ควรมีการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานชุดต่างๆ ภายใต้ มิลค์บอร์ด ให้มีความเหมาะสม เช่น คณะอนุกรรมการที่มีหน้าที่ในการจัดสรรสิทธิการจำหน่ายนมโรงเรียน ไม่ควรมีตัวแทนของฝ่ายผู้ประกอบการหรือผู้มีส่วนได้เสียเข้าไปเป็นอนุกรรมการ คณะอนุกรรมการที่มี หน้าที่ในการตรวจสอบ กำกับดูแล การดำเนินงานหรือคุณภาพ ของนมโรงเรียน ไม่ควรเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการเพียงฝ่ายเดียว เป็นต้น "และควรมีการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานของ มิลล์บอร์ด โดยมุ่งเน้นให้มีอำนาจหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบาย แต่ไม่ควรมีอำนาจในการจัดสรรสิทธิในการจำหน่าย นมโรงเรียน ให้แก่ผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อป้องกันปัญหาการชัดกับระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี 31 พฤษภาคม 2560 เรื่อง การบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน อย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรมีการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน ตามนโยบายในการเพิ่มคุณภาพ และมาตรฐานของนมโรงเรียน เป็นระยะ เพื่อน่ามาเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาโครงการ ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ป.ป.ช. ยังเสนอให้ "อ.ส.ค." ในฐานะฝ่ายเลขานุการมิลค์บอร์ด บูรณาการฐานข้อมูลในการบริหารจัดการกับหน่วยงานอื่น เช่น ปรับปรุงฐานข้อมูลปริมาณน้ำนมดิบ จำนวนนักเรียนจำนวนโรงเรียน และ สถานศึกษาทั่วประเทศรายชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมโรงเรียน การรายงานผลการตรวจวิเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งผลการดำเนิน โครงการต่างๆ ให้มีความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถจัดสรรสิทธิการจำหน่ายนมโรงเรียน ได้รวดเร็วในแด่ละภาคการศึกษา ทั้งนี้ การพิจารณาจัดสรรสิทธิให้แก่ผู้ประกอบการนั้น ควรคำนึงถึงระยะทางในการขนส่งนมให้มีความเหมาะสมกับที่ตั้ง ของโรงเรียนและโรงงานผลิตนม เพื่อลดปัญหาในเรื่องคุณภาพ นมโรงเรียน โดยให้คำนึงถึงความสามารถในการผลิตและการรับซื้อน้ำนมดิบ ประกอบด้วย "อปท.และโรงเรียนเอกชน" ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในการจัดซื้อนมโรงเรียน ต้องให้ความสำคัญและเข้มงวดในขั้นตอนการส่งมอบและรับมอบนมโรงเรียน เนื่องจากจาก อ.ส.ค. ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง แต่ได้มอบอำนาจให้ผู้ประกอบการแต่ละรายเป็น ผู้ปฏิบัติแทน จึงมีโอกาสที่จะเกิดการสมยอมการเสนอราคา (ฮั้ว) หรือร่วมมือกันทุจริตระหว่างหน่วยจัดซื้อกับผู้ประกอบการได้" ในส่วนของการแก้ไขปัญหาการทุจริตและคุณภาพนมโรงเรียนในระดับพื้นที่ หรือระดับจังหวัด ควรพิจารณาให้ อปท. และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด เป็นผู้ประสานงานในด้านต่างๆ เช่น ให้มีเจ้าหน้าที่ จาก อปท. หรือ วิทยาลัยขุมชนต่างๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศปฏิบัติหน้าที่เป็นเครื่องมือหรือกลไก ในการช่วยเหลือ กำกับดูแล และตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ ของการดำเนินโครงการๆ เพื่อแก้ไขปัญหาบุคลากร ไม่เพียงพอ และเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนเฝ้าระวังตนเองอีกทางหนึ่ง ป.ป.ช.ยังมีข้อเสนอเรื่อง การบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ขั้นตอนต้นทาง คือ การทำสัญญาระหว่างหน่วยจัดซื้อกับผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจาก อ.ส.ค. จนถึงขั้นตอนปลายทาง คือ การขนส่งนมไปยังโรงเรียน หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม โดยเฉพาะในขั้นตอนของการขนส่งนมโรงเรียน จะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องคุณภาพนมโรงเรียนได้มากขึ้น ทั้งนี้ ในกระบวนการตรวจสอบคุณภาพนมโรงเรียน โดยเฉพาะขั้นตอบในส่วนที่เป็นปลายน้ำ คือ การตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นม ณ โรงงานผลิตนม และการตรวจสอบ ณ หน่วยตรวจรับนมโรงเรียน เช่น สถานศึกษาและ อปท. ควรเปิดโอกาสให้ตัวแทนภาคประชาขนหรือผู้บริโภค ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบ เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องคุณภาพชองนมโรงเรียนและปัญหาการทุจริตในโครงการฯ ส่วนประเด็น "การตรวจสอบการทุจริต" เสนอให้มีการจัด ชุดเฉพาะกิจ เพี่อบูรณาการการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการดำเนินโครงการฯ ในแต่ละพื้นที่ โดยต้องมีการประสาน ความร่วมมือเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการทุจริตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ สุดท้าย "กระทรวงเกษตรฯ อ.ส.ค. สถานศึกษา และ อปท." ต้องเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าในการดำเนินโครงการฯ หลักเกณฑ์และกฎระเบียบต่าง ๆ ตลอดจนพื้นที่การจัดส่งนมโรงเรียน และรายซื่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วม โครงการฯ ผ่านสื่อต่างๆ ให้ ประชาชนสามารถตรวจสอบพื้นที่และรายขื่อของผู้ประกอบการ ความคืบหน้า และร้องเรียน ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองได้ ล่าสุด อปท.ทั้งหมด ได้รับหนังสือจากผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อทำความเข้าใจกับข้อเสนอของ ป.ป.ช.แล้ว เหลือเพียงรัฐบาลดำเนินการตาม. |
เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวงงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ฅนเทศบาล
เมนูหลัก
ข่าวท้องถิ่น
ระเบียบบริหารงานบุคคลของพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานการบริหารงานบุคคลพนักงานส่วนท้องถิ่น
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
รายงานพิเศษ: แผน"ล้างบาง"ทุจริตนมโรงเรียน ลดอำนาจ"ก.เกษตรฯ-อ.ส.ค."เข้ม ! ขั้นตอนส่งมอบ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น