วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ใครอย่าเอามาเทียบเคียงกับเลี้ยงนกอีแอ่นละ

ทำบุญกับนกพิราบ .. แต่อาจสร้างบาปกับเพื่อนบ้านเราเอง

เทอดพงศ์  คงจันทร์
                “นกพิราบ”  สัญลักษณ์แห่งสันติภาพอันเป็นที่ทราบกันทั่วโลก
                แต่นกพิราบก็เป็นพาหะนำโรคชั้นดีได้เหมือนกัน โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
                ที่สำคัญ ... ธรรมชาติของนกพิราบมันจะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน เวลามีแหล่งอาหาร มันก็จะทิ้งดิ่งสามัคคีกัน
ลงมากินอาหารกันเป็นหมู่คณะเชียว ถ้าดูจากสวนสาธารณะต่างๆ ก็พอจะเห็นกันได้
                ทีนี้ถ้าเกิดไม่มีการดูแลเรื่องเก็บกวาดเศษอาหาร มูลนกกันให้ดีหละก็ สารพัดเชื้อโรคและกลิ่นเหม็นเลยเชียว
ที่จะก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อสุขภาพอนามัยของผู้คน
                กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขจึงกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องดูแลไม่ให้เกิด
ปัญหามลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ใดก็ตาม
                แต่คราวนี้สำหรับประชาชนคนใจบุญบางท่าน เขาก็เกิดนึกสงสารนกพิราบผู้หิวโหย เขาก็อาจจะให้อาหาร
กันในบ้านของเขา
                อย่างเนี้ย ... ถ้ามันสร้างความเดือดร้อนต่อเพื่อนบ้านหรือชุมชน เจ้าหน้าที่จะทำอะไรได้บ้าง ก็ต้องมาติดตาม
เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้
                เรื่องนี้เกิดที่กรุงเทพ ความมันเกิดก็เพราะว่า คุณลุงท่านนี้แกใจบุญ เอาเศษอาหารเหลือกิน มาเลี้ยง
หมาแมวของแกในบ้าน
                คราวนี้ปริมาณอาหารมันคงเหลือเฟือพอที่จะเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ชนิดอื่นได้ เจ้านกพิราบที่มีเป็นฝูงแถวนั้น
มันก็เลยขอแจมอาหารบุฟเฟ่ต์ของหมาแมวคุณลุงแกด้วย
                ไม่มีปัญหา ... คุณลุงใจบุญคงคิดงั้น เพราะหลังจากนั้น ทุกวันคุณลุงแกต้องจัดปาร์ตี้เลี้ยงอาหารสัตว์ทั้งหมา แมว
แล้วก็แขกรับเชิญพิเศษ คือเจ้านกพิราบทั้งฝูงทุกวี่วัน วันละสองเวลา ... จัดกันเต็มๆ
                เรียกว่า “กินฟรี มีเกียรติ” กันไป สำหรับเจ้านกพิราบพวกนั้น !!
                ได้บุญเต็มอิ่มเลยสำหรับคุณลุง ...
                แต่ที่น่าเห็นใจ กลับเป็นชาวบ้านแถวๆ นั้น หนะซี รับบาปเคราะห์กันไปถ้วนหน้า
                เพราะว่าหลังจากมีปาร์ตี้เลี้ยงอาหารสัตว์กันทุกวี่วัน ปรากฏว่าเจ้านกพิราบแขกรับเชิญคนพิเศษ ดันทิ้ง
ร่องรอยฝากไว้ให้แก่ชาวบ้าน เป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำกันไม่รู้จาง
                ทั้งอุจจาระ ขนนกพิราบ เศษอาหารตกค้าง ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งกันไปหมด รบกวนชาวบ้านชาวช่อง
กันถ้วนทั่ว ชาวบ้านทนไม่ไหว สุดท้ายเลยต้องไปร้องเรียนเอากับผู้อำนวยการเขต
                ผู้อำนวยการเขตท่านเลยส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบพื้นที่ ... เลยเห็นกันจะจะว่า จากสภาพน่าจะก่อให้เกิด
ความเดือดร้อนรำคาญ และกระทบต่อสุขภาพอนามัยของชาวบ้านที่พักอาศัยในบริเวณนั้นจริง
                เพราะในบ้านของคุณลุงและบริเวณใกล้เคียงมีกลิ่นอับชื้นอยู่ทั่ว พบเศษอาหารตกค้าง แล้วก็ยังมีนกพิราบป่วย
แยกขังไว้ในกรง 3 – 4 ตัว
                นอกจากนั้น ยังมีคอนพักของนกพิราบ 6 – 7 อัน มีนกพิราบเกาะอยู่บนคอนจำนวนมาก และจะกิน
เศษอาหารในบ้านพักของคุณลุง แถมยังถ่ายอุจจาระทิ้งไว้เพียบ
                หนำซ้ำตอนนกพิราบบินเข้าออกบ้าน ก็จะมีฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
                ผู้อำนวยการเขตทราบเรื่อง เลยเห็นท่าจะปล่อยไว้ไม่ไหว เพราะมันก่อมลพิษทางกลิ่น เสียง และอาจจะมี
โรคภัยบางอย่างจากขี้นกติดต่อเข้าสู่ร่างกายคนได้
                ผู้อำนวยการเขตเลยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข มีคำสั่งให้คุณลุงหยุดให้อาหารนกพิราบ
และทำความสะอาดเก็บกวาดมูลสัตว์ให้สะอาดเรียบร้อย
                เจอคำสั่งเข้าอย่างนี้ ... คุณลุงแกก็เลยของขึ้นเอานะสิ  อุวะ ... คนเค้าโปรดสัตว์เอาบุญ มาขวางทางบุญกันเสียได้
                แล้วนี่แกก็ไม่ได้ไปให้อาหารนกพิราบในที่สาธารณะเสียหน่อย ให้กันในบ้านของแกแท้ๆ เจ้าหน้าที่มีสิทธิอะไร
มายุ่งกับเรื่องในบ้านสถานส่วนตัวของแก ฮั่นแน่ ... อ้างสิทธิในเคหสถานเสียด้วย อย่างโก้เชียว !
                ขันติก็เลยกลายเป็นขันแตกในบัดดล คุณลุงแกเลยมายื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของ
ผู้อำนวยการเขต เพื่อที่แกจะได้ให้อาหารนกพิราบเป็นการก่อบุญสุนทานต่อไป
                แหมๆ ... ฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตามกฎหมาย มีคำสั่งให้ประชาชนหยุดก่อความเดือดร้อน
แก่สุขอนามัยของชุมชน โดยอ้างว่าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างนี้ มันก็เป็น
“คดีปกครองเกี่ยวกับ
สิ่งแวดล้อม” กันชัดๆ นะสิโยม !

                คดีความมันก็เลยสู้กันในศาลปกครองต่อเนื่องกันมาถึงสองชั้นศาล !!!
                ซึ่งสุดท้ายศาลปกครองสูงสุดท่านก็ได้มีคำวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีนำเศษอาหารที่เหลือจากการเลี้ยงสุนัข
มาโปรยบริเวณบ้านเพื่อให้นกพิราบมากินเศษอาหารดังกล่าว
                ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นเหตุรำคาญ เพราะบริเวณบ้านผู้ฟ้องคดี  
และใกล้เคียงมีกลิ่นอับชื้น
                  พบเศษอาหารตกค้างภายในบ้านของผู้ฟ้องคดี และมีคอนพัก 6 - 7 อัน มีนกพิราบเกาะอยู่บนคอนจำนวนมาก
                 เมื่อนกพิราบจำนวนมากบินเข้าออกบ้านของผู้ฟ้องคดีเพื่อกินเศษอาหารดังกล่าว จะมีฝุ่นฟุ้งกระจายและมี
มูลนกในบริเวณใกล้เคียงด้วย
                ศาลเห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีนำเศษอาหารมาโปรยเพื่อให้นกพิราบมากินเศษอาหารดังกล่าว ซึ่งผู้ฟ้องคดีรับว่า
ผู้ฟ้องคดีให้อาหารนกพิราบเพื่อเป็นการสงเคราะห์สัตว์
                ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเลี้ยงนกพิราบดังกล่าว และการให้อาหารนกพิราบของผู้ฟ้องคดีทำให้เกิด
ฝุ่นฟุ้งกระจาย พร้อมทั้งมีมูลนกและกลิ่นอับชื้นบริเวณบ้านของผู้ฟ้องคดีและละแวกใกล้เคียงด้วย
                พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อันเป็นกรณีที่ก่อให้เกิดความ
เดือดร้อนแก่ผู้อาศัยบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของผู้ฟ้องคดี
                การให้อาหารนกพิราบของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นเหตุรำคาญตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
                ซึ่งตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้อำนาจผู้อำนวยการเขตห้ามผู้หนึ่งผู้ใดมิให้ก่อเหตุรำคาญ
ในสถานที่เอกชนรวมทั้งการระงับเหตุรำคาญนั้นด้วย
                ผู้อำนวยการเขตจึงมีอำนาจออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีก่อเหตุรำคาญพร้อมทั้งให้ระงับเหตุรำคาญตาม
บทกฎหมายดังกล่าวได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นๆ จะอยู่ในที่สาธารณะหรือไม่
                ดังนั้น ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ว่า ผู้อำนวยการเขตมีอำนาจห้ามการกระทำผิดเฉพาะในที่สาธารณะและ
สถานประกอบการของเอกชนเท่านั้น จึงฟังไม่ขึ้น
                ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายกฟ้อง
                เรื่องนี้เลยเป็นอุทาหรณ์ให้รู้ ว่า จะใจบุญเลี้ยงอาหารสัตว์กันที ก็อาจต้องดูผลกระทบที่จะเกิดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วยเหมือนกันนะ.   (คดีหมายเลขแดงที่ อ.351/2553)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น