วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สนช.ผ่านกฎหมาย'สูงอายุ'รีดภาษีบาป 2% เพิ่มเบี้ยยังชีพ

สนช.ผ่านกฎหมาย'สูงอายุ'รีดภาษีบาป 2% เพิ่มเบี้ยยังชีพ
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

          อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
          กรุงเทพธุรกิจ   สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (สนช.) ผ่าน "ร่างพระราชบัญญัติ ผู้สูงอายุ พ.ศ...." แบบเอกฉันท์ 181 เสียง ต่อ 0 เสียง ในการประชุมวานนี้ (16พ.ย.)  และจะเหลือเพียงขั้นตอนการประกาศใช้เท่านั้น
          โดยสาระหลักของร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ที่มาตรา 5 ที่ให้บัญญัติไว้ใน มาตรา 15/1 "ให้เรียกเก็บเงินบำรุงกองทุนจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตในส่วนที่เกี่ยวกับสินค้าสุราและยาสูบในอัตรา 2% ของภาษี ที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต และให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าวเป็นผู้มีหน้าที่ส่งเงินบำรุงกองทุนพร้อมกับชำระภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด"
          ทั้งนี้ส่วนที่เก็บจะมีไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ส่วนที่เกินจากนั้นจะนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
          ซึ่งต้องทำความเข้าใจกันว่า อัตรา 2 % ที่เก็บนี้ ไม่ใช่มี 100 ส่วนแล้วชักออก 2 ส่วน แต่การเขียนเช่นนี้คือการที่เดิมจ่าย 100 ส่วน ตามของใหม่ก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็น 102 ส่วน
          หมายความว่าจากนี้ผู้ประกอบการที่เคยเสียภาษีสรรพสามิต 100 บาท ก็จะต้องเสียเพิ่มอีก 2 บาท เป็น 102 บาท ซึ่งภาระเหล่านี้จะอยู่ที่ผู้ประกอบการ แต่จะวนมาบวกเพิ่มเอากับผู้บริโภคหรือไม่ก็ขึ้นกับผู้ประกอบการ
          จากการชี้แจงระบุว่าเงินภาษีสรรพสามิตที่เก็บเพิ่มและนำส่งเข้ากองทุนผู้สูงอายุ จะถูกนำไปจ่ายเป็นเบี้ยผู้สูงอายุเพิ่มเติมอีกคนละ 100 บาท อาทิ เดิมคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้เบี้ยยังชีพ 600 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 700 บาท อายุ 70 ปี จากเดิมได้ 700 บาท ก็เพิ่มเป็น 800 บาท
          ทั้งนี้ มีการคำนวณว่า ส่วนที่นำมาเพิ่มค่าเบี้ยยังชีพจะอยู่ที่  2,400 ล้านบาทต่อปี ส่วนที่เหลืออีก 1,600 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้เป็นสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ เช่น การซ่อมแซมและสร้างบ้านเรือนผู้สูงอายุ การดูแลผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง การจัดกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามหากย้อนดูจะพบว่า "กองทุนผู้สูงอายุ" ไม่ใช่กองทุนแรกที่ใช้เงินจากภาษีสรรพสามิต
          โดยมีกองทุนต่างๆ ที่ใช้เงินภาษีสรรพสามิต จาก "สุรา" และ "ยาสูบ" ดังนี้
          1. "กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ"หรือที่เรียกกันว่า "กองทุน สสส." มีหน้าที่ หลักคือ ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในประชากรทุกวัยตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งสร้างความตระหนักเรื่องพฤติกรรมการเสี่ยงจากการบริโภคสุรา ยาสูบ หรือสาร หรือสิ่งอื่นที่ทำลายสุขภาพ และรณรงค์ให้ลดบริโภคสุรา ยาสูบ หรือ สิ่งอื่นที่ทำลายสุขภาพ
          ทั้งนี้ใน พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ พ.ศ. 2544 มาตรา 11 ระบุว่า "ให้กองทุนมีอำนาจจัดเก็บเงินบำรุงกองทุนจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตรา 2% ของภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ"
          ซึ่งเป็นการเก็บเงินในอัตรา 2% จากภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบ โดยที่ไม่มีเพดานวงเงินจำกัด 2."องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย" หรือที่เรียกกันว่า "ไทยพีบีเอส" ก็ใช้เงินจากภาษีสรรพสามิตในส่วนของ สุราและยาสูบเช่นเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์โดยสรุปคือเพื่อให้เป็นโทรทัศน์สาธารณะ ผลิตรายการที่มีคุณภาพ และนำเสนอข่าวสารทีเป็นอิสระจากการเมืองและธุรกิจ
          โดย พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ระบุในมาตรา 12 ว่า "ให้องค์การมีอำนาจจัดเก็บเงินบำรุงองค์การจาก ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย ว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตรา1.5% ของภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตาม กฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ และจัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์การ โดยให้มีรายได้ สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกินสองพันล้านบาท"
          แปลความง่ายๆว่า ให้นำรายได้จากภาษีสรรพสามิตในส่วนสุราและยาสูบ 1.5%โดยมีเพดานอยู่ที่ปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และให้มีการทบทวนทุกสามปี
          3. "กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ"ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการกีฬาของชาติ และมีรายได้หลักจาก ภาษีสรรพสามิตในส่วนของสุราและยาสูบตามมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 "ให้กองทุนมีอำนาจจัดเก็บเงินบำรุงกองทุนจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบในอัตราร้อยละสองของภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ"
          โดยสรุปก็คือให้นำรายได้ในอัตรา 2% จากภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบ โดยไม่มีเพดาน
          ดังจะเห็นว่ามีหลากหลายกองทุนต่างต้องการเงินส่วนนี้ ที่เรียกกันว่า "ภาษีบาป"  เพราะเงินก้อนนี้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับภาระงบประมาณประเทศ และผลักให้เป็นภาระของผู้เสียภาษี ซึ่งหากใครจะปริปากบ่นก็ต้องเจอกับข้อหาที่ว่า "ถ้าไม่อยากจ่ายก็อย่ากินอย่าสูบ เพราะของพวกนี้เป็นของไม่ดี" หรือถ้าไม่พอใจก็ "เลิกซะ"
          ที่สำคัญคือการจัดสรรงบประมาณเช่นนี้ ถือว่าไม่ผ่านกระบวนการงบประมาณตามปกติ ที่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม แต่นี่เปรียบเสมือนการ "บายพาส" งบประมาณกันเลยทีเดียว และยิ่งหากมาดูรายได้จากภาษีสรรพสามิตในส่วนของ สุราและยาสูบ จะพบว่ามีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยหากเปรียบเทียบตั้งแต่ปี 255 ที่เริ่มจัดเก็บเพื่อกองทุน สสส. ขณะนั้น จัดเก็บภาษี สุรา และ บุหรี่ได้ปีละ 85,637 ล้านบาท ปี 2546 จัดเก็บได้ 95,952 ล้านบาท ปี 2547 จัดเก็บได้ 105,255 ล้านบาท ปี 2548 จัดเก็บได้ 112,295 ล้านบาท ปี 2549 จัดเก็บได้ 109,007 ล้านบาท ปี 2550 จัดเก็บได้ 127,210 ล้านบาท ปี2551 ซึ่งเป็นปีแรก ที่จัดเก็บเข้ากองทุนไทยพีบีเอส จัดเก็บได้จัดเก็บได้ 132,113 ล้านบาท ปี 2552 จัดเก็บได้130,311 ล้านบาท ปี 2553 จัดเก็บได้ 154,610 ล้านบาท ปี 2554 จัดเก็บได้ 167,319 ล้านบาท ปี 2555 จัดเก็บได้ 178,307 ล้านบาท ปี 2556 จัดเก็บได้ 189,652 ล้านบาท ปี 2557 จัดเก็บได้ 202,214 ล้านบาท ปี 2558 ที่เป็นปีแรกซึ่งจัดตั้งกองทุนกีฬา จัดเก็บได้ 205,336 ล้านบาท และปี 2559 จัดเก็บได้ 213,534 ล้านบาท
          จากปีแรกที่เริ่มเก็บเข้ากองทุน สสส. จะพบว่ารายได้จากภาษีสรรพสามิตส่วนสุราและยาสูบเพิ่มขึ้นถึง 120,000 ล้าน
          เค้กก้อนโต และจะโตขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหอมหวนยิ่งนักสำหรับการนำไปใช้ในกิจการต่างๆ โดยที่ไม่กระทบงบประมาณปกติ แต่ภาระนี้จะถูกผลักไว้ให้ใคร ก็เป็นเรื่องของคนบาปที่ต้องรับไปอย่างไม่สามารถปริปากได้เลย
          เปิดหลักสูตร'ดูแลผู้สูงอายุ'
          กรุงเทพธุรกิจนายสุทธิ สุโกศลอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าประเทศไทยกำลังก้าว เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และหลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นกัน จึงต้องเตรียมแผนรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการบริหารประเทศและปัญหาด้านอื่นๆ ที่จะตามมา กระทรวงแรงงานได้เตรียมหามาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา อาทิ การขยายอายุเกษียณ การสนับสนุนให้มีการจ้างงานผู้สูงอายุ ส่งเสริม การออม การเพิ่มทักษะและการจัดหางานให้เหมาะสมกับแรงงาน รวมถึงการเตรียมความพร้อมคนทำงานเพื่อดูแลผู้สูงอายุด้วย
          ทั้งนี้ ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งยังสามารถประกอบอาชีพและดูแลตัวเองได้ แต่จะมี ผู้สูงอายุอีกกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลใกล้ชิด อาทิ ผู้สูงวัยที่มีโรคประจำตัว ร่างกายไม่แข็งแรง หรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง กพร. จึงให้ความสำคัญและมอบหมายให้สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศที่มีความพร้อม ดำเนินการฝึกอบรมเพื่อผลิตคนทำงานในด้านนี้ออกสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
          สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี เป็นแห่งหนึ่งที่มีความพร้อมในการดำเนินการ มาอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับศูนย์ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพสภากาชาดไทย ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ฝึกอบรมให้กับคนในวัยแรงงาน อายุระหว่าง 18-55 ปี ในสาขาการดูแลผู้สูงอายุ เป็นหลักสูตร 420 ชั่วโมง เรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ การทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ด้านสาธารณสุข การวัดความดันและเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดูแลผู้สูงอายุ
          ที่ผ่านมามีการฝึกอบรมแล้ว 17 คน โดยผู้ที่จบการฝึก ศูนย์ส่งเสริมฟื้นฟูฯ จะรับเข้า ทำงานทันที หรือจัดส่งไปยังกลุ่มเครือข่าย และใน ปี 2561 สถาบันฯ ชลบุรี มีเป้าหมายดำเนินการอีก 20 คน กำหนดเปิดอบรมในวันที่ 4 ม.ค. นี้
          คุณจิดาภา หงส์รัมย์  อายุ 38 ปี เล่าว่าเธอผ่านการอบรมสาขาการดูแลผู้สูงอายุจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี โดยฝึก ที่ศูนย์ส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพสภากาชาดไทย ต.บางพระ 3 เดือน และฝึกในสถานประกอบการอีก 1 เดือน ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น
          ด้านคุณนิตยา บุปผา  อายุ 52 ปี เป็นอีกคนหนึ่งที่จบการฝึกจากสถาบันฯ ชลบุรี กล่าวว่าเหตุที่ตัดสินใจมาอบรมเพียงต้องการนำความรู้ไปดูแลยายที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่หลังจากจบหลักสูตรแล้ว ศูนย์ส่งเสริมฟื้นฟูฯ มีบุคลากรในการดูแลผู้สูงอายุไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจเข้าทำงาน แม้ค่าจ้างจะไม่สูงนักแต่ก็ได้อยู่ใกล้ครอบครัว เดินทางไป-กลับไม่ไกลจากที่พัก และยังมีรายได้ ส่วนหนึ่งจากการทำสวน ทำให้มีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น