วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

ส่อง'รางวัลพระปกเกล้า'ปี'60 ความภาคภูมิใจอันสูงยิ่งแห่งอปท.

ส่อง'รางวัลพระปกเกล้า'ปี'60 ความภาคภูมิใจอันสูงยิ่งแห่งอปท.
มติชน (กรอบบ่าย)  ฉบับวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑

          ทีมข่าวภูมิภาค
          สิ่งที่ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเฉพาะผู้บริหารและบุคลากรรู้สึกเป็นเกียรติ นั่นคือการได้รับ "รางวัลพระปกเกล้า" เพราะรางวัลนี้ถือเป็นเกียรติภูมิของท้องถิ่น โดยจะมอบให้แก่ อปท.ที่เป็นเลิศและโดดเด่นในการทำงาน ถือเป็นรางวัลที่มีอายุยาวนานที่สุดในประเทศไทย ในปี 2560 มี อปท.หลายแห่งที่ได้รับรางวัลนี้
          'ทบ.แม่เหียะ'รางวัลพระปกเกล้า3ปีซ้อน
          นายธนวัฒน์ ยอดใจ นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เผยถึงกรณีเทศบาลเมืองแม่เหียะได้รับรางวัลพระปกเกล้าด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ปี 2558, 2559 และปี 2560 หรือ 3 ปีซ้อนว่า เป็นผลจากความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเครือข่ายชุมชน 28 องค์กร ที่มีความเข้มแข็ง เป็นกลไกผลักดัน และขับเคลื่อนพัฒนาท้องถิ่น เริ่มจากการทำประชาคมเพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ภายใต้หลัก ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์ ร่วมตรวจสอบ ร่วมประเมินผล อาทิ โครงการ วันสต๊อปเซอร์วิส หรือบริการครบวงจร ธนาคารขยะกิ่งไม้ใบไม้ที่เป็นต้นแบบท้องถิ่น ด้านการบริหารจัดการขยะชุมชน และแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควัน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และท่องเที่ยว
          "ปี 2560 นำเสนอโครงการสร้างความสุขให้ประชาชน ภายใต้คำขวัญว่า ดอยคำลานคำ นำสุข เพื่อจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ขายมะลิ ดอกไม้สด เครื่องสังฆทานที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวซื้อไปกราบไหว้หรือสักการะหลวงพ่อทันใจ ที่วัดพระธาตุดอยคำ ที่มีผู้ค้ากว่า 100 ราย ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมปรับปรุงห้องน้ำ ลานจอดรถ ไฟฟ้าส่องสว่าง ปรับภูมิทัศน์ พร้อมบริการรถสาธารณะ หรือสี่ล้อแดง โดยจัดระเบียบร้านค้าชุมชนบริเวณทางขึ้นวัดดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชน" นายธนวัฒน์กล่าว
          นายธนวัฒน์กล่าวอีกว่า ทุกโครงการหรือนวัตกรรมที่นำเสนอ ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าได้ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ติดตามประเมินผลในเชิงลึก ตรวจสอบข้อเท็จจริงจนเป็นที่ประจักษ์ก่อนมอบรางวัลดังกล่าว ถือเป็นรางวัลเกียรติยศของชาวแม่เหียะ สำหรับปี 2561 เทศบาลจะนำเสนอโครงการและนวัตกรรมต่อยอด เพื่อส่งเข้าประกวดรางวัลพระปกเกล้าทองคำ ในระดับนานาชาติ หรืออาเซียน โดยมีสถาบันพระปกเกล้าเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวจะเป็นสุดยอดนวัตกรรมท้องถิ่น โดยยึดหลักการพัฒนาชุมชน และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นไปสู่เวทีสากลต่อไป
          'ทต.ป่าแดด'กับรางวัลการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐฯ
          ด้านนายรุ่งปรีชา ปั๋นแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เผยกรณีเทศบาลได้รับรางวัลพระปกเกล้า ด้านการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน และประชาสังคม ปี 2560 ครั้งแรก ว่าได้นำเสนอ 2 โครงการ คือโครงการบำบัดน้ำเสียและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในคลองแม่ข่า และโครงการค้นหา ติดตามเยี่ยมหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอดในเขตเทศบาลตำบลป่าแดด ซึ่งรางวัลที่ได้รับถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวป่าแดดทุกคน
          "โครงการบำบัดน้ำเสียและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในคลองแม่ข่า เป็นการนำเสนอของกลุ่มจิตอาสา ต.ป่าแดด ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำ ก่อนไหลลงแม่น้ำปิง โดยมีน้ำไหลผ่าน 3 ชุมชน รวมระยะทาง 2.6 กิโลเมตร ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการชุมชนและจิตอาสาจัดเก็บขยะ กำจัดวัชพืชเพื่อทำปุ๋ยหมัก ใช้กังหันชัยพัฒนาเติมออกซิเจน บำบัดน้ำเสีย พร้อมเจรจารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางลำน้ำดังกล่าว ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ อาจใช้เวลาอีก 5-10 ปี โครงการถึงประสบความสำเร็จ
          "ปี 2561 มีแผนและโครงการต่อยอด คือการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำใส โดยใช้พืชหรือพันธุ์ไม้ท้องถิ่นเป็นตัวบำบัดตามธรรมชาติ นำน้ำมาใช้เพื่อทำการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัวแบบอินทรีย์ เลี้ยงปลาในกระชัง พร้อมทำบุญตักบาตรและสืบชะตาคลองแม่ข่า มีการปรับภูมิทัศน์หลังบ้านที่อยู่สองฝั่งคลอง ปลูกดอกไม้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างงานและรายได้สู่ชุมชนตามลำดับ" นายรุ่งปรีชากล่าว
          "ส่วนโครงการค้นหาติดตามเยี่ยมหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอดในเขตเทศบาลเป็นของกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อดูแลด้านสุขภาพและโภชนาการหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด 13 หมู่บ้าน ที่มีกว่า 100 ราย ซึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จ คือสุขภาพแม่และลูกแข็งแรง เด็กโตตามวัย ไม่เจ็บป่วย เพราะกินนมแม่ 6 เดือน ก่อนเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอนุบาล เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ทั้งไอคิว และอีคิว ซึ่งเด็กมีพัฒนาการอยู่ในเกณฑ์ดี มีความร่าเริง และเรียนเก่ง ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ง่าย" นายรุ่งปรีชากล่าว
          'อบจ.ตราด'รางวัลความเป็นเลิศด้านความโปร่งใส
          นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตราด ได้รับรางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ประจำปี 2560
          นายวิเชียรกล่าวว่า ได้น้อมนำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ในหลักการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยกระบวนการดำเนินการด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น เริ่มตั้งแต่การเข้าใจและเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ ตลอดระยะเวลาการบริหารงานที่ผ่านมาได้ก้าวเข้าไปหาผู้คนทุกชนชั้นในพื้นที่ พบปะพูดคุยกับประชาชน ให้เกียรติผู้อื่นและลงพื้นที่ทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุด ทำให้ทราบถึงปัญหาและความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และสามารถประสานงานจากระดับสูงมาสู่ระดับปฏิบัติงานได้อย่างดียิ่ง เข้าถึงผู้นำชุมชนและประชาชนได้ทุกระดับ
          นายวิเชียรกล่าวด้วยว่า องค์ประกอบที่มีความสำคัญทำให้ได้รับรางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ประจำปี 2560 คือความเป็นเลิศในด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งในด้านการสังคมสงเคราะห์และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มีทั้งโครงการกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพของ จ.ตราด ที่ อบจ.ตราด ร่วมกับโรงพยาบาลตราดและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 6 จ.ระยอง นำอุปกรณ์และเครื่องมือของผู้ป่วยติดเตียงไม่มีความจำเป็นมาปรับปรุงและนำมาให้ผู้ป่วยติดเตียงรายอื่นที่จำเป็นต้องใช้มาเบิกไปใช้ ทั้งเตียง หรือรถวีลแชร์ เพื่อลดความ เหลื่ยมล้ำ ซึ่งเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยและผู้สูงอายุ หรือโครงการใช้รถพยาบาลฉุกเฉิน หรือ OTOS โดยทำผ่านโครงการคลินิกเซ็นเตอร์ โดยการมอบรถยนต์ OTOS ให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้ประสบอุบัติเหตุมายังสถานบริการอย่างทันท่วงที ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 32 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ร่วมดำเนินโครงการนี้ ซึ่งมีประโยชน์มาก และอีกโครงการหนึ่งที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับมากคือโครงการอุทยานการเรียนรู้ หรือ TRAT TK PARK ด้วยการนำที่ว่าการอำเภอเมืองตราดหลังเก่ามาปรับปรุงให้เป็น "อุทยานการเรียนรู้ หรือ TRAT TK PARK" เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชนและประชาชนให้มีนิสัยรักการอ่าน
          'ทม.กาฬสินธุ์'ภูมิใจรางวัลพระปกเกล้า6ปีซ้อน
          เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ มี 36 ชุมชนในเขตการปกครอง พื้นที่ 16.9 ตรางกิโลเมตร กับจำนวนประชากร 38,836 คน มีนายจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ เข้ามาบริหารงานดูแลทุกข์สุขของประชาชน โดยได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2555 ถึงปัจจุบัน
          เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ได้รับรางวัลพระปกเกล้ารวมทั้งสิ้น 7 ปี เริ่มจากปี 2549 และระหว่างปี 2555-2560 ต่อเนื่องถึง 6 ปีซ้อน ทั้งในด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ปี 2549, 2555, 2556 และรางวัลพระปกเกล้าทองคำด้านความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ปี 2557 และในปี 2558-2560 กับรางวัลพระปกเกล้าด้านการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน และประชาสังคม
          นายจารุวัฒน์กล่าวว่า กาฬสินธุ์เป็นเมืองน่าอยู่คู่ธรรมาภิบาล เป็นวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาในพื้นที่ให้เกิดเป็นรูปธรรม ตอบโจทย์และสนองความต้องการของคนในเมืองใหญ่รอบด้าน ที่คำนึงถึงการบริหารงานภารกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารเทศบาลทั้ง 36 ชุมชน การเข้าถึงข่าวสารทางหอกระจายข่าว โดยมุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจจากการทำแผนชุมชนปีต่อปี บริหารภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า การอำนวยความสะดวกและลด ขั้นตอนการปฏิบัติงาน นำมาซึ่งการประเมินผลการปฏิบัติ โดยใช้ เครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน
          "เครือข่ายหลัก 3 ด้านที่ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้ขับเคลื่อนในพื้นที่ ทม.กาฬสินธุ์ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครือข่ายบ้านมั่นคงเพื่อคนไร้บ้าน เป็นการเข้าแก้ไขปัญหาผู้มี รายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง บริเวณกุดอ้อ ริมน้ำปาว ได้สร้างหมู่บ้านใหม่ 3 แห่ง คือบ้านมั่นคงจารุพัฒนา บ้านมั่นคงสหกรณ์เคหสถานบ้านร่วมใจ จำกัด และบ้านมั่นคงสหกรณ์บริการเคหสถานเมืองใหม่ ทั้งหมด 138 ครัวเรือน เครือข่ายความร่วมมือเพื่อการคุ้มครองเด็กและผู้ด้อยโอกาส เป็นการสร้างความทัดเทียมให้เกิดขึ้นภายในสังคม โดยเฉพาะในส่วนของชุมชนแออัด การขาดอาชีพ ขาดรายได้ และขาดการศึกษา นำมาซึ่งปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ การเข้าไปสร้างโอกาสได้เริ่มขึ้นจากการร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เด็กด้อยโอกาสได้เข้าเรียนหนังสือ คนว่างงานได้มีอาชีพสร้างรายได้ด้วยตนเอง และคนพิการที่เข้าถึงระบบการบริการจากภาครัฐอย่างเท่าเทียม" นายจารุวัฒน์กล่าว
          "รางวัลที่ได้รับถือเป็นเกียรติยศของคนกาฬสินธุ์ จากความร่วมมือที่หวังให้ 'กาฬสินธุ์เป็นเมืองน่าอยู่คู่ธรรมาภิบาล' จากการร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทุกอย่างเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้น ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมสำเร็จไม่ได้ ฉะนั้นรางวัลแห่งเกียรติยศนี้จึงเป็นของคนกาฬสินธุ์จริงๆ" นายจารุวัฒน์กล่าวในที่สุด
          'อบต.อ่าวนาง'ท้องถิ่นเป็นเลิศด้านเสริมสร้างสันติสุข
          นายพันคำ กิตติธรกุล นายก อบต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา อบต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ บริหารจัดการโดยยึดหลักธรรมาภิบาลจนได้รับรางวัลพระปกเกล้าถึง 6 ปีซ้อน ในปีนี้ได้นำเสนอโครงการส่งเสริมกิจกรรมของผู้สูงอายุ โครงการอ่าวนาง เมืองสวยน้ำใส และโครงการสร้างเอกลักษณ์ ปรับปรุงภูมิทัศน์ และจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวอ่าวนาง จนได้รับรางวัลสถาบัน พระปกเกล้า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศด้านการเสริมสร้างสันติสุขและความสมานฉันท์ ประจำปี 2560 ซึ่งรางวัล พระปกเกล้าเป็นเครื่องหมายเชิดชูองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความโดดเด่นต่อเนื่อง ถือว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของท้องถิ่น โดยใช้ประสบการณ์ การนั่งเก้าอี้นายก อบต.อ่าวนาง มาเป็นระยะเวลากว่า 18 ปี ใช้หลักธรรมาภิบาล 6 หลัก ประกอบด้วย 1.หลักนิติธรรม 2.หลักคุณธรรม 3.หลักความโปร่งใส 4.หลักการมีส่วนร่วม 5.หลักความรับผิดชอบ และ 6.หลักความคุ้มค่า บริหารจัดการ
          นอกจากนี้ อบต.อ่าวนาง ใช้หลักข้อที่ 7 คือการคิดนอกกรอบ กล้าคิดกล้าทำ แต่ต้องถูกตามระเบียบ ถูกกฎหมาย ประชาชนมีส่วนร่วม ประชาชนมีความต้องการ ไม่ใช่ทำตามทางราชการเค้าสั่งมาว่าอย่างไรทำแค่นั้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นหลัก ยึดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ต้องคุ้มค่า มีประสิทธิภาพประสิทธิผล โดยในปี 2561 อบต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ยังคงใช้หลักการคิดนอกกรอบ ต่อยอดความสำเร็จ จากรางวัลที่ได้รับนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม สอดคล้องกับนโยบายของทางจังหวัด โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจัดระเบียบสถานประกอบการ การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตามแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากพื้นที่ อบต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญจำนวนมาก เช่น เกาะพีพี อ่าวมาหยา ทะเลแหวก อ่าวไร่เล เกาะไผ่ เป็นต้น แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาท่องเที่ยว สร้างรายได้หลักให้กับประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น