วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ถอยหลังลดแรงต้านคลอดกม.เก็บภาษีที่ดิน

ถอยหลังลดแรงต้านคลอดกม.เก็บภาษีที่ดิน
โพสต์ทูเดย์  ฉบับวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

          เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง
          ถอยหลังลดแรงต้าน คลอดกม.เก็บภาษีที่ดิน
         
          ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยล่าสุดคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือการพิจารณาของ สนช.วาระ 2 ได้มีการเปิดผลการศึกษาและสรุปสาระสำคัญของกฎหมายที่ได้มีการดูกันมาหลายเดือน มาเปิดรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆ
          การสรุปผลการศึกษามีสาระสำคัญที่เปลี่ยนไปมาก เริ่มตั้งแต่การกำหนดเพดานอัตราภาษีลดลง 40% จากมติเดิมที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมประชาชนได้ปรับตัวกับภาษีใหม่
          สำหรับอัตราเพดานภาษีใหม่ประกอบด้วยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเกษตรกรรมให้ลดจาก 0.2% เหลือ 0.15% ที่อยู่อาศัยลดจาก 0.5% เหลือ 0.3% อื่นๆ นอกเหนือจากเกษตรและ ที่อยู่อาศัยลดจาก 2% เหลือ 1.2% และที่ดินว่างเปล่าหรือไม่ทำประโยชน์ ลดจาก 2% เพิ่มขึ้นอีก 0.5% ทุก 3 ปี แต่สูงสุดไม่เกิน 5% ให้ลดเหลือ 1.2% เพิ่ม 0.3% ทุก 3 ปี แต่สูงสุดไม่เกิน 3%
          การลดเพดานอัตราภาษีดังกล่าวทำให้ผู้เสียภาษีทุกกลุ่มเกิดความสบายใจมากขึ้นว่า ภาระภาษีสูงสุดไม่ได้มากจนเกินไป ที่ผ่านมาเป็นประเด็นที่ผู้เสียภาษีโจมตีกฎหมายนี้อย่างมาก เพราะกลัวว่าหากรัฐบาลเก็บภาษีในอัตราเพดานสูงสูด จะทำให้มีภาระภาษีจนจ่ายไม่ได้ จนปัญหาฐานะการเงินหรือกิจการไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้
          ที่สำคัญการสรุปผลการศึกษายังเสนออัตราภาษีที่จัดเก็บจริงใน 2 ปี แรกก็จะเป็นอัตราที่ต่ำมากเพื่อให้ผู้เสีย
          ภาษีได้ปรับตัว มีการกำหนดยกเว้นภาษี เช่น ภาษีที่อยู่อาศัยในส่วนมูลค่าไม่เกิน 20 ล้านบาทแรกไม่เสีย และภาษีที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมส่วนที่เกินไม่ 50 ล้านบาทแรกไม่ต้องเสีย เป็นต้น
          ยิ่งลงไปดูในรายละเอียดของผลการศึกษาจะพบว่า สำหรับอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เกษตรกรรมที่มีบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของ 0-50 ล้านบาท ไม่เสียภาษี มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 100-500 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.07% มูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท เก็บ 0.1% จากข้อมูลของกรรมาธิการพบว่า เกษตรกรที่มีที่ดินไม่เกิน 50 ล้านคน มีอยู่กว่า 6 คน ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ต้องเสียภาษี ส่วนเกษตรกรที่มีที่ดินเกิน 50-100 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 6 ล้านคน แต่ก็คิดภาษีที่เสียต่อปีหลักพันบาทจึงไม่กระทบปัญหา สำหรับเกษตรกรที่มีที่ดินเกิน 100 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 3 หมื่นคนเท่านั้น
          ในส่วนของเกษตรกรรมที่มีนิติบุคคลเป็นเจ้าของมูลค่า 0-75 ล้านบาท เก็บ 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 100-500 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.07% มูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท เก็บ 0.1% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำเพราะรัฐบาลต้องการสนับสนุนการทำการเกษตร
          ขณะที่ภาษีที่อยู่อาศัยกรณีที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา มูลค่า 0-20 ล้านบาท ไม่เสียภาษี มูลค่า 20-50 ล้านบาท เก็บ 0.02% มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท เก็บ 0.1% ซึ่งจะมีผู้ที่ต้องเสียภาษี 1-2% ของผู้ที่มีที่อยู่อาศัยทั้งหมดเท่านั้น
          ส่วนที่อยู่อาศัยหลังอื่นมูลค่า 0-50 ล้านบาท เก็บ 0.02% มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่าเกิน 100
          ล้านบาท เก็บ 0.1% ก็ถูกปรับลดเช่นกัน เพื่อลดภาระของผู้ที่มีบ้านหลายหลัง
          สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ 0-50 ล้านบาท เก็บ 0.3% มูลค่า 50-200 ล้านบาท เก็บ 0.4% มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.5% มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท เก็บ 0.6% และมูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท เก็บ 0.7% ก็ถือว่าลดภาระจากร่างกฎหมายเดิมอย่างมาก ที่ผ่านมาเศรษฐีที่ดินต้านกฎหมายส่วนนี้มาก เพราะทำให้มีภาระภาษีมาก แต่เมื่อรัฐบาลยอมถอยขยับทั้งเพดานและอัตราการเก็บจริงลงมาก ก็น่าจะทำให้เศรษฐีที่ดินยอมรับการเสียภาษีได้มากขึ้น
          นอกจากนี้ ในร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยังได้เพิ่มเติมบทเฉพาะกาลเพื่อบรรเทาภาระภาษีให้กับผู้เสียภาษีที่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมใน 3 ปีแรก ในปีแรก ภาษีเก่าบวก 25% ของจำนวนภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น ปีที่ 2 ภาษีเก่าบวก 50% ของจำนวนภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น ปีที่ 3 ภาษีเก่าบวก 75% ของจำนวนภาษีที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น และปีที่ 4 จะต้องจ่ายเต็มจำนวน ตลอดจนยังอนุญาตให้มีการผ่อนชำระได้ด้วย
          การยกเครื่องร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินครั้งใหญ่อีกครั้ง ได้รับการยอมรับจากผู้เสียภาษีมากขึ้น อภิชาติ ประสิทธิ์นฤทธิ์ นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์และพันธมิตร และกรรมาธิการวิสามัญ ระบุว่า ภาคเอกชนสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฉบับนี้ เพราะมีหลักเกณฑ์ที่สอดคล้องกับหลักสากลและ
          ถ้าเทียบแล้วการเก็บภาษีของไทยก็ยังต่ำกว่าหลายประเทศทั่วโลก
          นอกจากนี้ ราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ถือว่าต่ำกว่าราคาตลาดถึง 30% เมื่ออัตราการเก็บภาษีที่ดินจริงกำหนดต่ำก็ทำให้ภาระการเสียภาษีไม่สูง ตัวอย่างเช่น ที่ดินเกษตรกรรมของบุคคลธรรมดา หากมีที่ดินเกิน 50 ล้านบาท ก็เสียภาษีส่วนเกินเพิ่มล้านละ 100 บาท หรือถ้าเป็นที่ดินเกษตรกรรมนิติบุคคลจะเสีย 1 ล้านแรกแค่ 100 บาท ส่วนบ้านพักอาศัยก็เสียภาษีในส่วนเกิน ล้านละ 200 บาท เป็นต้น
          ด้าน วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้รับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 มาต่อเนื่อง รัฐบาลตั้งใจออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดิน ซึ่งเป็นการเก็บภาษีจากทรัพย์สิน ดำเนินการมาแล้ว 24 ปี 12 รัฐบาล จึงมีความพยายามเพื่อที่จะทำคลอดกฎหมายให้ได้ในรัฐบาลนี้ โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2562 ส่งผลดีหลายเรื่อง ทำให้การเก็บภาษีของไทยเป็นสากล มีการเก็บภาษีจากทรัพย์สินมากขึ้น จากเดิมมีการเก็บภาษีจากทรัพย์แค่การเก็บภาษีมรดกเท่านั้น
          ทั้งนี้ ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่เป็นผู้เก็บภาษี ลดภาระการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้รัฐบาลมีรายได้ไปใช้พัฒนาประเทศมากขึ้น รวมถึงจูงใจให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อตรวจสอบการทำหน้าที่ของข้าราชการที่เก็บภาษีที่ดินไปว่านำไปใช้พัฒนาท้องถิ่นได้คุ้มค่าหรือไม่
          การเปลี่ยนสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกรรมาธิการ สนช.วาระ 2 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นการยอมถอยลดแรงต้านจากผู้เสียภาษี และทำให้การออกกฎหมายสำเร็จในรัฐบาลนี้เป็นประโยชน์กับประเทศในระยะยาวต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น