วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ครม.ไฟเขียวช้อปช่วยชาติ23วัน 11พย.-3ธค.สะพัด2หมื่นล.อนุมัติทำเหรียญพระคลังแจกคนบริจาคเบี้ยผู้สูงวัย


ครม.ไฟเขียวช้อปช่วยชาติ23วัน 11พย.-3ธค.สะพัด2หมื่นล.อนุมัติทำเหรียญพระคลังแจกคนบริจาคเบี้ยผู้สูงวัย
มติชน (กรอบบ่าย)  ฉบับวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

          ครม.ไฟเขียว'ช้อปช่วยชาติ' ลดหย่อนภาษีจ่ายจริงไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อคน รวม 23 วัน เริ่ม 11 พ.ย.ถึง 3 ธ.ค. เชื่อเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2.2 หมื่นล้าน เปิดช่องบริจาคเบี้ยผู้สูงอายุ ทำเหรียญเชิดชูเกียรติ
          ครม.ไฟเขียว'ช้อปช่วยชาติ'23วัน
          เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตร ประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการช้อปช่วยชาติระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม รวม 23 วัน โดยประชาชนนำค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการในประเทศนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาตามที่ใช้จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคน ทั้งนี้ ไม่รวมสุรา ไวน์ ยาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือและน้ำมัน ค่าโรงแรม ค่าจ้างมัคคุเทศก์ และค่ารักษาพยาบาล
          นายณัฐพรกล่าวว่า กระทรวงการคลังประเมินว่ารัฐจะสูญเสียรายได้จากมาตรการภาษีนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
          ทั้งนี้ มาตรการช้อปช่วยชาติมีการดำเนินการครั้งแรกช่วงปลายปี 2558 เป็นเวลารวม 7 วัน ระหว่างวันที่ 25-31 ธันวาคม 2558 และต่อมาในปี 2559 มีการเพิ่มระยะเวลาเป็น 18 วัน ระหว่างวันที่ 14-31 ธันวาคม 2559 ซึ่งปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ขยายเวลาให้ม
          กขึ้นกว่าที่เคยทำมา
          สรรพากรคาดใช้สิทธิช้อป2.2หมื่นล.
          เย็นวันเดียวกัน ที่กรมสรรพากร นาง แพตริเซีย มงคลวนิช โฆษกกรมสรรพากร ได้คาดการณ์มาตรการช้อปช่วยชาติครั้งนี้ว่า จะมีการจับจ่ายเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีช่วง 23 วัน กว่า 22,500 ล้านบาท คาดว่าทำให้กรมสูญเสียรายได้จากการคืนภาษี 2,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ที่มีการใช้สิทธิประมาณ 15,000 ล้านบาท ทำให้สูญรายได้ประมาณ 1,800 ล้านบาท
          "สินค้าและบริการที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ต้องเป็นสินค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) และต้องมีการใช้บริการในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2560 เช่น ฟิตเนสจ่ายเงินไปแล้วใช้เป็นรายปีไม่สามารถเข้าร่วมได้ ส่วนตั๋วเครื่องบิน ถ้าสายการบินใด จดทะเบียนแวต (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) และซื้อตั๋วบินในประเทศภายในช่วงเวลากำหนดสามารถใช้ได้ แต่ธุรกิจการบินได้รับการยกเว้นแวต" นางแพตริเซียกล่าว
          ครม.เปิดช่องบริจาคเบี้ยผู้สูงอายุ
          รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอและเห็นชอบเปลี่ยนชื่อโครงการสละสิทธิการรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยสมัครใจ เป็นโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นผู้จ้างกรมธนารักษ์จัดทำเหรียญเชิดชูเกียรติและจัดส่งให้แก่ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ
          รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้สูงอายุที่ต้องการบริจาคเบี้ยยังชีพสามารถแสดงความจำนงได้ที่หน่วยรับแจ้งการบริจาค ได้แก่ สำนักงานเขต กทม. อบต. เทศบาล ที่ตนได้ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไว้ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมกรอกแบบฟอร์มที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด ทั้งนี้ ผู้บริจาคสามารถยกเลิกการบริจาคได้ จากนั้นหน่วยรับแจ้งการบริจาคจัดส่งเงินบริจาคและข้อมูลของผู้บริจาคให้แก่กองทุนผู้สูงอายุ โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งกองทุนผู้สูงอายุและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) จะจัดส่งใบเสร็จให้แก่ผู้บริจาคต่อไป
          ทั้งนี้ เหรียญเชิดชูเกียรติเป็นเหรียญพระคลังชนิดทองแดงชุบทอง ความสูงประมาณ 3.5 เซนติเมตร สลักข้อความ "ร่ำรวย สุขภาพดี อายุยืน" และข้อความ "เหรียญเชิดชูเกียรติ สำหรับผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ"
          คลังคาดได้เงินบริจาคเบี้ยชรา4พันล.
          นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวคาดการณ์ว่าจะมีผู้สูงอายุรับเบี้ยคนชราที่มีความสามารถบริจาคได้ 5 ล้านราย ในจำนวนนี้จะบริจาคเข้ามาจำนวน 10% หรือ 5 แสนราย คิดเป็นเงิน 4,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะนำเงินส่วนนี้ไปรวมกับเงินจากภาษีบาป 2% เป็นเงิน 4,000 ล้านบาท ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... กำหนดให้นำเงินจากภาษีบาป 2% เข้ากองทุนผู้สูงอายุคาดว่าจะมีผลต้นปีหน้า
          "เงินใน 2 ส่วนนี้จะมาเพิ่มให้คนชราที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ คาดว่าจะเพิ่มให้ได้คนละ 200 บาท แบ่งเป็นเงินจากการบริจาคคาดว่าจะได้ 100 บาท และเงินจากภาษีบาป 100 บาท แต่ต้องรอดูว่าจะมีการบริจาคจริงเข้ามาเท่าใด โดยการบริจาคเริ่มวันที่ 1 ธันวาคมนี้" นายสุวิชญกล่าว
          เอกชนเสียงแตก'ช้อปช่วยชาติ'
          นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่ามาตรการช้อปช่วยชาติไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ เพราะเมื่อมีมาตรการประชาชนจะชะลอการใช้จ่าย เพื่อรอซื้อสินค้าในช่วงที่มาตรการช้อปช่วยชาติมีผล ทำให้กำลังซื้อช่วงก่อนหน้าลดลงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาตรการมีระยะเวลานานกำลังซื้อจะยิ่งชะลอ อีกทั้งรัฐบาลทำมาแล้ว 2 ปี หากทำมาตรการ บ่อยๆ จะยิ่งไม่มีผลต่อเศรษฐกิจมากนัก
          นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการช้อปช่วยชาติ เพราะเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค เนื่องจากปกติเวลาคนไทยช้อปปิ้งมักจะซื้อสินค้ามากกว่าวงเงินที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันจะมีผลกระตุ้นการท่องเที่ยวปลายปีได้ด้วย จึงจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้ขยายตัวดี
          นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากมีมาตรการช้อปช่วยชาติก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ทำให้เกิดการใช้จ่าย ถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่องจากที่คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 3.7%
          'โลตัส'พร้อมรับช้อปช่วยชาติ
          นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานกรรมการบริหารฝ่ายการพาณิชย์ เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า สำหรับมาตรการช้อปช่วยชาติ ครม.ได้อนุมัติ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนให้มีความคึกคักขึ้นได้ ซึ่งสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน จำเป็นต้องซื้อตามปกติอยู่แล้ว มาตรการที่ออกมาจึงคาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวเลขที่สูงตามที่เข้าใจกัน อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของการออกมาตรการดังกล่าวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้บริษัทได้เตรียมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยได้ติดตั้งเครื่องสแกนบัตรประชาชน เพื่อให้สามารถออกใบกำกับภาษีได้รวดเร็วขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จากเดิมที่จะใช้วิธีการเขียนด้วยมือ
          "จากการที่มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการออกมาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น และในระยะยาวเศรษฐกิจจะชะลอตัว เนื่องจากประชาชนได้ซื้อสินค้ากักตุนไว้ ส่วนตัวไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยงบประมาณเพียง 15,000 บาท คงไม่สามารถซื้ออะไรได้มากนัก จึงไม่น่าจะก่อให้เกิดการกักตุนสินค้าอย่างที่คาดเดากัน" นายสมพงษ์กล่าว'บิ๊กฉัตร'เผยราคายางดีขึ้น
          ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงปัญหาราคายาง ว่า สถานการณ์ดีขึ้น สั่งการให้ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ประธานบอร์ดการยางเข้าไปดำเนินการในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าราคาผันผวนตามตลาดซื้อขายล่วงหน้า เรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงเวลานี้ แต่สิ่งที่พยายามผลักดันการใช้ยางในประเทศต้องทำให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ประมาณ 30% ขณะนี้ดำเนินการไปได้ 13-14% ซึ่งขยับขึ้นจากสองปีที่ผ่านมา เรื่องนี้จะต้องเดินหน้าต่อเพื่อให้เกษตรกรมีการซื้อขายในประเทศและสร้างความเข้มแข็งให้สวนยางและพยายามผลักดันโครงการเดิมที่ทำอยู่ เช่น เกษตรกรบางคนได้ลดพื้นที่ทำสวนยางและเพิ่มการปลูกพืชรายได้ทำให้ไม่มีปัญหา
          เมื่อถามว่า กรณีที่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางบางส่วนเรียกร้องให้เปลี่ยนตัว พล.อ. ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ต้องดูในข้อเท็จจริงด้วยว่าการทำงานเป็นอย่างไร ถ้ามีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดก็ต้องนำไปสู่การพิจารณา ถ้าไม่มีอะไรก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ
          "ผมจะหาโอกาสพูดคุยกับผู้นำกลุ่มชาวสวนยางเป็นระยะทั้งเดินทางมาพบหรือโทรศัพท์มาพูดคุย ซึ่งหลายคนเข้าใจการทำงาน ส่วนยังไม่เข้าใจต้องสร้างความเข้าใจ" พล.อ.ฉัตรชัยกล่าว
          เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาราคายางจะถูกหยิบยกเป็นกระแสทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ก็ต้องพิจารณาเพราะคิดว่าสื่อก็ทราบกันอยู่แล้ว
          ออมสินสรุปช่วยคนจนพ.ย.
          กรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายดำเนินโครงการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยระยะที่ 2
          นางสาวจิราพร นุกิจรังสรรค์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าฐานรากและสนับสนุนนโยบายรัฐ เปิดเผยว่า ออมสินกำลังจัดทำโครงการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หลังจากเพิ่งรับนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ต้องไปคิดว่าจะมีแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไรบ้าง เบื้องต้นนำผลิตภัณฑ์ทางด้านสินเชื่อและเงินฝากที่มีอยู่มาพิจารณา และดูว่าจะมีการเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง โดยในส่วนของเงินกู้นั้นมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อในโครงการธนาคารประชาชน หากเป็นโครงการจากภาครัฐลดดอกเบี้ยถูกกว่าปกติ ส่วนเงินฝากมีโครงการเงินฝากธนาคารประชาชน ซึ่งธนาคารต้องการสนับสนุนให้ลูกค้าสินเชื่อธนาคารประชาชนมีการออมเงินด้วยการให้ดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์ถึง 3 เท่า ล่าสุดมีเงินฝากในระดับหลายพันล้านบาท
          "หลังจากนี้ธนาคารออมสินคงต้องพิจารณาว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างไรบ้าง เพื่อให้คนกลุ่มนี้มีรายได้มากขึ้น คาดว่าจะมีข้อสรุปมาตรการดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ เนื่องจากกระทรวงการคลังมอบมาให้สรุปก่อนเดือนธันวาคมนี้" นางสาวจิราพรกล่าว
          แหล่งข่าวจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส.พร้อมรับนโยบายจากนายสมคิดและนายอภิศักดิ์ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในส่วน ธ.ก.ส.ดูแลผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนไว้ 6.16 ล้านราย ขณะนี้มีโครงการไปช่วยส่งเสริมอาชีพในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็นหนี้นอกระบบ โดยใช้กระบี่โมเดล คือให้เอสเอ็มอี หัวขบวน ช่วยให้ความรู้ในการทำการเกษตร ดึงเข้ามาอยู่ในเครือข่าย เช่นในจังหวัดกระบี่ มีเอสเอ็มอีหัวขบวนปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ส่งโรงแรมและรีสอร์ตเป็นผู้นำในการอบรมกลุ่มหนี้นอกระบบ และดึงให้มาปลูกผัก ธ.ก.ส.จะสนับสนุนเงินทุนในการปลูกผัก ทำให้กลุ่มนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งในการเพิ่มรายได้ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งหมดอาจจะใช้แนวทางของหนี้นอกระบบมาปรับใช้ ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำมาตรการเสนอไปยังกระทรวงการคลัง
          นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวอีกครั้งกรณีรัฐบาลเตรียมออกมาตรการคนจนโครงการสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยระยะที่ 2 ว่า ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้นทราบว่าจะมีมาตรการจ้างงานในพื้นที่เพื่อเพิ่มรายได้กลุ่มธ.ก.ส.เล็งใช้กระบี่โมเดลผู้มีรายได้น้อย ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ติดต่อมายัง ส.อ.ท.เพื่อดูความพร้อมของผู้ประกอบการว่าจะมีความต้องการแรงงานมากน้อยเพียงใด แต่ละอุตสาหกรรมยังขาดแคลนหรือไม่ ประเด็นนี้ ส.อ.ท.สายแรงงานจะพิจารณาข้อมูลและเสนอ สศค.อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในมุมของเอกชนต้องการทราบว่าในแต่ละพื้นที่จะรับแรงงานเท่าไร และจะมีทักษะด้านใดบ้างที่ตรงกับเนื้องาน
          หนุนส่งเสริมผู้สูงวัยมีงานทำ
          รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ ม.นิด้า เปิดเผยว่า เรื่องสินเชื่อกับเงินฝากแบบพิเศษสำหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น ถ้าหากเป็นการให้สินเชื่อในช่วงเวลาสั้นๆ ก็คงเป็นการช่วยเหลือเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต ไม่ได้เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมากเท่าไร และคงไม่ส่งผลต่อการผลิตในระยะยาว เพราะไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือนวัตกรรมอะไร ซึ่งมองว่ารัฐบาลน่าจะออกแนวสร้างความมั่นใจแก่ภาคเศรษฐกิจไทยว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนมาโดยตลอด แต่ทั้งนี้ การที่รัฐบาลช่วยเหลือเฉพาะผู้มีรายได้น้อยก็ทำให้จำกัดจำนวนคนได้ ค่าใช้จ่ายของทางภาครัฐคงไม่รั่วไหลมาก
          "แต่ผมค่อนข้างชอบแนวคิดการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำ เพราะคำว่า 'สังคมสูงวัย' ไม่ใช่คำที่สร้างสรรค์ เหมือนเรามองว่าผู้สูงอายุเป็นภาระของสังคม แท้จริงแล้วผู้สูงอายุบางคนก็ยังมีศักยภาพอยู่ เราจึงต้องเปิดโอกาส ไม่ปิดกั้น ส่วนเรื่องการให้คนรวยสละสิทธิเบี้ยคนชรา ผมมองว่ารัฐไม่ได้มีภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้สูง คงเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่มีนัยยะในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสมากกว่า โดยโครงการทั้งหมดนี้ผมมองว่าเป็นโครงการเชิงจิตวิทยาในเชิงบวก ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากเท่าไร มองว่าเราต้องผลักดันให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเพิ่มรายได้ได้ด้วยตนเอง ด้วยการส่งเสริมทักษะในรูปแบบต่างๆ หรือกระทั่งให้ผู้มีรายได้น้อยมีธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นของตัวเอง เพราะทรัพยากรมนุษย์เป็นจุดเดียวที่จะยกระดับฐานะความเป็นอยู่ และเพิ่มขีดความสามารถของเราในระยะยาว" รศ.ดร.อดิศร์กล่าว
          ไม่มั่นใจสร้างวินัยออมเงินคนจน
          ด้าน ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า โดยมากปัญหาของผู้มีรายได้น้อยคือการออมเงินไม่ได้ ต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบ กลายเป็นปัญหาวนเวียน เพราะเท่ากับว่าต้องหาเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไปคืนเงินกู้เหล่านั้น จึงมองว่าการที่รัฐบาลออกนโยบายให้ดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราพิเศษนั้นเป็นไปเพื่อสร้างวินัยการออมให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นไปได้ว่านโยบายของรัฐในเฟสแรกได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลง ในช่วงเฟส 2 จึงเป็นการสร้างวินัยเพื่อให้เกิดการเพิ่มรายได้ขึ้นจริงๆ การเพิ่มผลตอบแทนมากเป็นพิเศษจึงเป็นเครื่องจูงใจให้ประชาชนนำเงินมาออมก่อนจะเอาไปใช้จ่าย อย่างไรก็ดี ไม่แน่ใจว่านโยบายนี้จะช่วยได้มากแค่ไหน เพราะหากประชาชนที่มีหนี้สินนอกระบบอยู่แต่เดิม แล้วจะนำเงินมาฝากตามนโยบายนี้ด้วยอาจเกิดเป็นการหมุนเงินแทน ทั้งนี้ ความหนักเบาในการหมุนเงินของประชาชนก็แตกต่างกัน กรณีคนที่มีหนี้สินมาก รัฐอาจต้องมีนโยบายช่วยเหลือมากกว่านี้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าภาครัฐคงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน
          ชี้ช่วยคนจนกระตุ้นระบบศก.ทันที
          "ส่วนสินเชื่ออัตราพิเศษนั้น คาดว่ารัฐบาลต้องการดึงดูดกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีรายได้น้อย ซึ่งโดยปกติคนกลุ่มนี้มักไม่มีสินทรัพย์มาค้ำประกัน ทำให้เกิดความลำบากในการกู้เงิน สินเชื่อที่ว่าจึงน่าจะช่วยได้หากคนกลุ่มดังกล่าวต้องการนำเงินไปประกอบธุรกิจ อย่างไรก็ตาม รัฐต้องยอมรับความเสี่ยงในเงินกู้เหล่านี้ เพราะประชาชนอาจไม่มีอะไรมาค้ำประกัน แต่เมื่อมีนโยบายสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแล้ว คาดว่าจะช่วยลดจำนวนการกู้เงินนอกระบบซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงๆ ได้ ทำให้ประชาชนลดค่าใช้จ่ายลง" ดร.ธนสินกล่าว
          ดร.ธนสินกล่าวอีกว่า ส่วนตัวรู้สึกเห็นด้วยที่ภาครัฐกำหนดกลุ่มเป้าหมายช่วยเหลือว่ากลุ่มใดที่มีความต้องการสูง รัฐก็ควรนำทรัพยากรไปไว้ตรงนั้น ที่สำคัญคือ การกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีข้อดีคือ พวกเขาจะใช้เงิน ไม่ค่อยมีเงินเก็บ ดังนั้น เงินที่ลงไปยังคนกลุ่มนี้จะไปหมุนในระบบเศรษฐกิจทันที แตกต่างจากผู้มีรายได้สูงที่มีเงินเหลืออยู่แล้ว เขาจะนำเงินไปไว้ที่ธนาคาร เงินก็ไปจอดอยู่ที่นั่น การ กระตุ้นการใช้จ่ายในผู้มีรายได้น้อยจึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่า จึงน่าจะเป็นผลดี ที่รัฐบาลออกนโยบายดังกล่าว
          หวั่นช่วยคนจนเป็นดาบสองคม
          ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคกลาง หอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือคนจนเป็นรัฐสวัสดิการที่ดี แต่ปัญหาที่พบคือ เงินที่ลงไปจะช่วยเหลือประชาชนได้จริงหรือไม่ อย่างประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียจะทำเรื่องนี้ยังต้องคิดหนัก ขณะที่งบประมาณของไทยยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็ต้องบริหารจัดการเพื่อใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ที่สุด ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยการแจกเงินเช่นในสมัยที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี มีการจ่ายค่าขุดคลองให้กับคนใช้แรงงานก็กระตุ้นเศรษฐกิจโดยปริยาย แต่อย่าลืมว่าการแก้ปัญหาในขณะนี้ แจกไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ รัฐบาลควรคิดหาทางออกโดยการดำเนินมาตรการที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 เด้ง คือประชาชนได้ซื้อสินค้ายังชีพ และทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
          "มาตรการช่วยเหลือคนจนที่จ่ายออกไปเพื่อหวังให้กระตุ้นเศรษฐกิจคือการทำประชานิยม มองว่าการดำเนินนโยบายลักษณะนี้ควรจะเป็นพรรคการเมืองที่ใช้มากกว่า ส่วนรัฐบาลทหารควรจะแก้ปัญหา 2 ต่อ หรือ 3 ต่อ เพราะไม่ต้องการคะแนนนิยม หรือไม่ต้องกลัวอะไร ส่วนปัญหาการทำมาตรการช่วยเหลือคนจนที่พบทุกวันนื้คือการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งแล้วไปเจอปัญหาอีกอย่างหนึ่ง เช่น การซื้อสินค้าในชุมชน ที่เติมเงินลงไปในบัตรคนจน 200-300 บาท ก็ไม่ได้ลงไปสู่ร้านค้าชุมชนที่เป็นร้านเล็กๆ ร้านที่สามารถติดตั้งเครื่องรูดบัตรได้ กลับเป็นร้านค้าใหญ่ๆ หากรัฐบาลสามารถนำเงินที่แจกลงไปสู่ตลาดนัดชุมชนหรือร้านแบกะดินได้จะช่วยเศรษฐกิจรากหญ้าและเป็นคุณูปการต่อระบบเศรษฐกิจ" ว่าที่ ร.อ.จิตร์กล่าว
          ว่าที่ ร.อ.จิตร์กล่าวว่า สำหรับมาตรการใหม่ๆ หรือมาตรการช่วยเหลือคนจนก๊อก 2 มีทางออกว่ารัฐบาลควรจะคำนึงเรื่องการบริหารและการใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด อย่างงบ 100,000 ล้านบาท ที่จะกระจายลงไปสู่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด สุดท้ายก็ไปไม่ถึงมือประชาชน เพราะติดเรื่องการขออนุมัติโครงการไม่ผ่าน หรืออย่างงบช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มีข้อกำหนดเรื่องผู้กู้จะต้องเป็นนิติบุคคล ก็ทำให้เอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการน้อย เพราะโดยปกติกว่าเอสเอ็มอีจะจดทะเบียนนิติบุคคล อย่างน้อยเขาจะต้องมองเห็นอนาคตของธุรกิจก่อน ดังนั้น จึงต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่เช่นนั้นมาตรการช่วยเหลือคนจนจะเป็นดาบสองคม
          ชาวนราฯปัดรับบัตรคนจน
          นายสุทัศน์ วงศ์มหามรรษ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. สาขาสุไหงปาดี จ.นราธิวาส เปิดเผยกรณีประชาชนในพื้นที่ไม่ยอมเดินทางมารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีกกว่า 1,000 ราย เนื่องจากเกรงจะยื่นขอกู้เงินกับธนาคารทุกแห่งไม่ได้ ว่า ขอยืนยันผู้ที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกคนยังยื่นขอกู้เงินกับธนาคารทุกแห่งได้ หากมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และยังพบว่าผู้ที่รับบัตรไปแล้ว บางรายได้ติดต่อขอคืนบัตรด้วยเหตุผลเดียวกัน
          "ธนาคารทุกแห่งมีโครงการสินเชื่อที่หลากหลายประเภท รวมทั้งในกรณีผู้มีรายได้น้อยทุกธนาคารจะพิจารณาจากเงื่อนไขหลักๆ ประกอบด้วย รายได้สุทธิและรายได้อื่นๆ ในแต่ละเดือน ที่มาของรายได้ รวมทั้งมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน ไม่มีเงื่อนไขของการมีบัตรหรือไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาเกี่ยวข้อง เพราะบัตรสวัสดิการแห่งรัฐดังกล่าวดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยธนาคาร ธ.ก.ส. กรุงไทย และออมสิน เป็นเพียงหน่วยงานที่รับผิดชอบการลงทะเบียนและนำส่งบัตรให้กับผู้ที่ลงทะเบียนกับธนาคารเท่านั้น และหากจำนวนเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เพียงพอสำหรับการใช้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการตามสิทธิของผู้ถือบัตร ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบโดยชำระเพิ่มเป็นเงินสด โดยไม่มีการตัดวงเงินในบัญชีธนาคารของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่อย่างใด เพราะบัตรดังกล่าวไม่ได้ผูกการใช้จ่ายวงเงินกับบัญชีธนาคาร" นายสุทัศน์กล่าว
          เอกชนเมินประมูลเมล์เอ็นจีวี
          แหล่งข่าวจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน กรมบัญชีกลางได้เปิดให้เอกชนยื่นซองประกวดราคาโครงการจัดซื้อรถโดยสารประจำทางปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) พร้อมซ่อมแซมและบำรุงรักษา จำนวน 489 คัน ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ราคากลาง 4,020 ล้านบาท แต่เมื่อสิ้นสุดการเสนอราคาในเวลา 16.30 น. กรมบัญชีกลางสรุปข้อมูลเบื้องต้นว่าไม่มีเอกชนรายใดยื่นข้อเสนอ จากผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาทั้งหมด 8 ราย
          แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อไม่มีเอกชนเข้าร่วมประมูลก็ต้องล้มประมูลและเปิดประมูลใหม่ โดย ขสมก.จะนำผลการเปิดประกวดราคาในครั้งนี้เสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก. ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ขณะเดียวกันจะพิจารณาด้วยว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทีโออาร์ (เงื่อนไขการประมูล) ใหม่หรือไม่อย่างไร
          นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO กล่าวว่า คณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) บริษัท มีมติตัดสินใจไม่เข้ายื่นประกวดราคาโครงการดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่ามีความเสี่ยงทางด้านความคุ้มค่าและผลอัตราตอบแทนในระยะยาวที่ไม่เหมาะสมกับอัตรากำไรที่จะกลับมา เนื่องจากราคากลางที่ ขสมก.กำหนดยังไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ในความเห็นของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังกังวลเรื่องข้อครหาของสังคม เพราะเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ที่กำหนดให้เอกชนต้องส่งมอบรถเมล์ 20 คันแรกในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเหมือนเป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น