วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บทความพิเศษ: ประเด็นร่างพรบ.บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นฉบับใหม่ ตอนที่ 1 : สภาพเบื้องต้น

บทความพิเศษ: ประเด็นร่างพรบ.บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นฉบับใหม่ ตอนที่ 1 : สภาพเบื้องต้น 
สยามรัฐ  ฉบับวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

          ทีมวิชาการสมาคมพนักงาน
          เทศบาลแห่งประเทศไทย
          ว่าจะเขียนเรื่องการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ที่วิพากษ์กันมานาน ตั้งแต่ก่อนการปฏิรูป คสช. (ก่อน 22 พฤษภาคม 2557) จะว่าไปการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบริหารงานบุคคลที่คนท้องถิ่นสายบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หรือฝ่ายพนักงานประจำหรือฝ่ายข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น รวม ลูกจ้าง อปท. ด้วยปริมาณจำนวนข้าราชการส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างท้องถิ่นที่มีจำนวนมากกว่าห้าแสนคน
          (ประมาณ 558,114 คน) หรือมีจำนวนที่มากกว่าจำนวนข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีเพียง 404,891 คน (สถิติปี 2558) จึงเป็นประเด็นที่บุคคลากรท้องถิ่นเหล่านี้ได้สนใจติดตามข่าวคราว แต่คน อปท. ดังกล่าวมีความสนใจ กลับไม่ค่อยเข้าใจในระเบียบ กฎหมายบุคคลของท้องถิ่นนัก เพราะไม่มีองค์ความรู้ไม่ได้รับการถ่ายทอด อบรม หรือการชี้แจง
          ประชาสัมพันธ์ในระดับที่รู้ดี รู้แจ้ง ฉะนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ได้ดีถูกต้อง จึงเป็นเรื่องยากยกเว้น ผู้วิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ จะเป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะทางด้านการบริหารงานบุคคลในเรื่องนั้นๆ ที่ก็จะรู้แคบ รู้ในทางเฉพาะทางเป็นส่วนใหญ่ แต่ในภาพรวม บอกได้เลย ออกจะสับสน จนอาจเรียกได้ว่ามั่วก็ได้ เพราะ ณปัจจุบันที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้เข้าสู่ระบบในภาษาชาวบ้านเรียก "ระบบแท่ง" หรือ "ระบบการจำแนกตำแหน่งแบบช่วงกว้าง (Broad banding)"
          การวิพากษ์วิจารณ์หลายอย่างจึงเป็นแบบแพะชนแกะ ที่ออกจะงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจลองมารวบรวมความเข้าใจแบบบ้านๆ ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นเหล่านั้นกัน
          สาระสำคัญร่างกฎหมายบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นฉบับ สถ.
          ตั้งแต่ 20 กันยายน 2560 เป็นต้นมา มีการเผยแพร่แบบสอบถามความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ... ฉบับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ที่มีการปฏิรูปและหลักการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่เปลี่ยนแปลงไป
          จากเดิม เช่น การเทียบตำแหน่งกับข้าราชการพลเรือน, วาระการดำรงตำแหน่งปลัด อปท.4 ปี, อำนาจคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือ ก.ถ.ที่ครอบจักรวาล สรุปสาระดังนี้
          (1) บททั่วไป
  • (1.1) การจัดระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่นต้องเป็นไปเพื่อผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจ
  • (1.2) บัญญัติชื่อตำแหน่งข้าราชการส่วนท้องถิ่น
  • (1.3) บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ ก.ถ.ในการออกกฎ ประกาศ และระเบียบฯ
  • (1.4)บัญญัติให้การจ่ายเงินเดือน ประโยชน์ตอบแทนอื่น และค่าจ้างฯ อปท. จะกำหนดสูงกว่าร้อยละสี่สิบของงบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่ได้
          (2) คณะกรรมการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น มีเพียงคณะเดียว เรียกว่า คณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) องค์คณะมีลักษณะไตรภาคีจำนวนยี่สิบสี่คน ประกอบด้วย
  • (2.1) ผู้แทนส่วนราชการจำนวนแปดคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่รับมอบหมาย เป็นประธาน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการ
  • (2.2) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนแปดคน ได้แก่ 
  •       (2.2.1) ผู้แทนผู้บริหารท้องถิ่นสี่คน
  •       (2.2.2) ผู้แทนข้าราชการส่วนท้องถิ่นสี่คน
  • (2.3) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนแปดคน
          กรณีการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นในระดับทุกจังหวัดให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัด (อ.ก.ถ.จังหวัด) มีฐานะเป็นคณะอนุกรรมของ ก.ถ. องค์คณะมีลักษณะไตรภาคี จำนวนสิบแปดคน ประกอบด้วย
(1) ผู้แทนส่วนราชการจำนวนหกคน ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นประธาน หัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
(2) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนหกคน ได้แก่
     (1) ผู้แทนผู้บริหารท้องถิ่นจำนวนสามคน
     (2) ผู้แทนข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามคน
     (3) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหกคน
 (3) กระบวนการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นของข้าราชการส่วนท้องถิ่น
     (3.1) การสรรหา การบรรจุและแต่งตั้ง บัญญัติให้ ก.ถ.มีอำนาจหน้าที่จัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น การสอบคัดเลือกและคัดเลือกตำแหน่งประเภทอำนวยการท้องถิ่น บริหารท้องถิ่น สายงานบริหารสถานศึกษาแต่สำหรับการสอบคัดเลือกเพื่อเปลี่ยนสายงานจากตำแหน่งประเภททั่วไปเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเช่นเดิม
      (3.2) อำนาจการบังคับบัญชา บัญญัติให้ผู้บริหารท้องถิ่นมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง การโอน การรับโอนการสอบสวน การลงโทษทางวินัย และการให้ออกจากราชการ หรือการอื่นใดที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นของข้าราชการส่วนท้องถิ่น สำหรับการย้าย การเลื่อนระดับ และการเลื่อนขั้นเงินเดือน ให้เป็นอำนาจของผู้บริหารท้องถิ่นและปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังต่อไปนี้
           (ก) ผู้บริหารท้องถิ่นเป็นผู้มีอำนาจสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามัญตำแหน่งประเภทบริหารท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
           (ข) ผู้บริหารท้องถิ่นเป็นผู้มีอำนาจสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามัญตำแหน่งประเภทบริหารท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งรองปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งประเภทอำนวยการท้องถิ่น และตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญขึ้นไป ทั้งนี้ ตามที่ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
           (ค) ผู้บริหารท้องถิ่นเป็นผู้มีอำนาจสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาหรือตำแหน่งที่มีวิทยฐานะเชี่ยวชาญขึ้นไป ทั้งนี้ ตามที่ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
           (ง) ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้มีอำนาจสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งอื่นนอกจากตำแหน่งตาม (ก) (ข) และ (ค)
      (3.3) วาระการดำรงตำแหน่ง บัญญัติให้ปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่เดียวติดต่อกันเป็นเวลาครบสี่ปี
      (3.4) การโอนระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บัญญัติให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่น โอนย้ายสับเปลี่ยนกันได้ บนพื้นฐานขอความสมัครใจและความยินยอมระหว่างอปท. เว้นแต่กรณีมีเหตุความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการ
      (3.5) การกำหนดโครงสร้างและอัตรากำลัง บัญญัติให้ ก.ถ. กำหนดตามความเหมาะสม ความรับผิดชอบปริมาณงาน ของ อปท. ทั้งนี้ สำหรับการกำหนดตำแหน่งพนักงานจ้างตามภารกิจที่มีชื่อตำแหน่งซ้ำซ้อนกับข้าราชการส่วนท้องถิ่น จะต้องมีจำนวน ไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนอัตรากำลังของข้าราชการส่วนท้องถิ่นของ อปท.
     (3.6)กำหนดจรรยาสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อถือปฏิบัติ
     (3.7) กำหนดระเบียบ ขั้นตอนวิธีการ เกี่ยวกับวินัยและการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการส่วนท้องถิ่น และกำหนดระเบียบ ขั้นตอน วิธีการกรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นกระทำผิดร่วมกันกับผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
   (4) การพิทักษ์ระบบคุณธรรมท้องถิ่นบัญญัติให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมท้องถิ่น (ก.พ.ค.ท้องถิ่น) ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 7 คน โดยให้รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นที่อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมอบหมายปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการ มีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีวาระเดียว ทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ร้องทุกข์ ออกกฎฯ สำนักงาน ก.พ.ค.ท้องถิ่น ตั้งอยู่กระทรวงมหาดไทย
          ลองมองที่ผลกระทบทั้งระบบ และคนหมู่มาก
          ในตำแหน่งข้าราชการส่วนท้องถิ่นมิใช่เป็นเรื่องเพียงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งหรือเพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นปัญหาร่วมของคนท้องถิ่นทั้งหมด การเรียกร้องต่อสู้ปกป้องสิทธิของคนท้องถิ่น จึงต้องเป็นไปในภาพรวม มองปัญหามันอยู่ที่องค์กรที่ได้รับมอบอำนาจ คือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กระทรวงมหาดไทย) โดยข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้เข้ามากำกับดูแล มาจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงบุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรด้วย หมายความว่าเข้ามาจัดการชีวิตของชาว อปท. ซึ่งมีบุคลากรในสังกัดคนละองค์กรนั่นเอง ซึ่งตามหลักนั้น ความเป็นบุคคลนอกองค์กรจึง "ไม่เกิดความมีส่วนร่วม เป็นเจ้าของ" (No Organiza tion Commitment) เพราะบุคลากรที่มากำกับดูแลไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่กำกับดูแลนั้น (อปท.) ด้วยความเป็น "คนนอก" ก็ไม่ถูกมาแต่แรกแล้ว นอกจากนี้ อปท. เป็นองค์กรที่มีบุคลากรจำนวนมาก มีพื้นที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ มันใหญ่เกินกว่าที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวจะเข้ามารับผิดชอบกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลคน เงิน หรืองบประมาณท้องถิ่นที่ใช้งบประมาณถึงหนึ่งในสามของทั้งประเทศ และรวมทั้งการบริหารจัดการ ที่บุคลากรหลัก ครู ช่าง หมอ ก็ไม่มีอยู่ในกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จึงเป็นธรรมดาที่ท้องถิ่นไทยขาดความสมดุลในเชิง "การบริหารจัดการ" (Administration) ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆนี้ มีกรณีศึกษาเรื่องรถเกี่ยวข้าว นวดข้าว ที่อปท. ต้องหารือว่าจะใช้อำนาจตามกฎหมายใดในการจัดการแก้ไขปัญหาตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุขฯ เป็นต้น
          ข้อพิจารณาการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่สำคัญ
          การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ด้วยความหวังว่าจะแก้ไขการทุจริต การบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น เพื่อตัดวงจรอุปถัมภ์ โดยริบอำนาจยึดอำนาจการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 8/2560 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์2560 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น ถือเป็นความหวังของคนท้องถิ่นในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ในการมอบอำนาจให้คณะกรรมการกลางบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.กลาง) เป็นผู้มีอำนาจในการคัดเลือก/สอบคัดเลือก ภายในกรอบอำนาจที่อ้างเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น มีประเด็นข้อพิจารณาที่ควรให้ความสำคัญคือ
(1) หาก ก.กลาง มีการออกหลักเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงของเดิมที่ไม่เชื่อมโยงหรือตอบโจทย์ ว่าจะแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์อย่างไร อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักสูตรการคัดเลือก/สอบคัดเลือก
(2) การแต่งตั้งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเป็นประธานคัดเลือก/สอบคัดเลือก (แทนผู้ทรงคุณวุฒิ/อ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร) ซึ่งการคัดเลือก/สอบคัดเลือกตามหลักเกณฑ์เดิมนั้น ระดับเทศบาล/จังหวัดมีผู้ทรงคุณวุฒิฯ เป็นประธานทั้งสิ้น และองค์ประกอบคณะกรรมการฯ ใหม่นี้ ก็ต้องล้อตามแบบเดิมไม่ว่าการแต่งตั้งประธานฯดังกล่าวที่มักยึดโยงกับสายบังคับบัญชา/ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระดับเทศบาลจังหวัด/กรม/กระทรวง ซึ่งเป็นการเกื้อหนุนต่อระบบอุปถัมภ์ ที่ส่งผลเสียหายต่อระบบคุณธรรม และไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาการบริหารงานบุคคล
          หลังจากที่ท่านอธิบดีคนใหม่ ท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เข้ามารับหน้าที่ก็ได้ดำเนินการสานต่อจากที่ท่านอธิบดีคนเดิมได้ดำเนินการไว้แล้ว โดยประกาศว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเปิดระบบออนไลน์ รับสมัครสอบสายงานผู้บริหาร อำนวยการ ผู้บริหารการศึกษา"ข้าราชการส่วนท้องถิ่น" รวม 11 สายงานประมาณ 9000 อัตรา ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและความหวังใหม่ในความก้าวหน้าของข้าราชการส่วนท้องถิ่นน้อยใหญ่ที่เฝ้ารอมาอย่างใจจดใจจ่อยาวนาน ท่ามกลางกระแสการยื่นฟ้องกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ต่อศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวการดำเนินการจัดสอบดังกล่าวก็ตาม ลองมาติดตามกระแสการปลดล็อกในร่าง พ.ร.บ.บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นฉบับนี้กันต่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น