“The Noise”
เสียงนี้... ที่ไม่ต้องการ !!
นานที...จะได้มีโอกาสดูรายการทีวีในวันหยุด... จึงกดรีโมทสำรวจช่องต่างๆ จนกระทั่งมาหยุดที่“The Voice ” รายการประกวดร้องเพลงแนวใหม่ ซึ่งผมจำได้ว่าเคยดูรายการนี้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน... กว่าจะได้มีโอกาสมาดูอีกครั้งก็เป็นรอบชิงชนะเลิศเลยครับ…
ระหว่างที่ผมนั่งดูไปเชียร์ไปอย่างสนุกสนาน
อยู่ๆ ก็เกิดเสียงที่ไม่พึงปรารถนาดังขึ้นมาจากบ้านข้างๆ โครมคราม !! ปึงปัง !! แถมด้วยเสียงเจาะสว่าน และเสียงจากเครื่องเจียรไฟฟ้า
…ผมนั่งเอามือกุมขมับ... ทำไมต้องมารบกวนวันหยุดอันแสนมีความสุขของผมด้วย
?? เมื่อตั้งสติได้...ก็คิดได้ว่านานๆ ทีจะมีเสียงดังรบกวนแบบนี้ ไม่เป็นไรครับ จึงหยิบรีโมทมากด เพิ่มเสียง แล้วก็นั่งดูต่อจนจบรายการ...
แม้ว่าความเพลิดเพลินจะลดลงไปบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ครับ
“เสียงรบกวนเล็กๆ น้อยๆ บ้านใกล้เรือนเคียงก็ต้องมีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา” (ผมบ่นกับตัวเอง)
“แล้วเสียงดังขนาดไหน จึงจะถือเป็น “เสียงรบกวน” ที่เกินจะยอมรับได้ละ ?” (เสียงแทรกจากเพื่อนบ้านนามว่าโจอี้ที่มานั่งดูทีวีข้างๆ
ผม ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ! ถามขึ้นมา)ผมตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเก็บอาการและตอบกลับไปว่า... เสียงดังที่จัดว่าเป็น “เสียงรบกวน”
หรือ “Noise” ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจของผู้ได้ยินนั้น ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้กำหนดค่าระดับเสียงดังกล่าวเอาไว้ที่ 10 เดซิเบล เอ ดังนั้น หากเสียงดังที่เกินปกติหรือเสียงดังต่อเนื่องยาวนานจนก่อให้เกิดความรำคาญหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบการได้ยิน
เช่น เสียงจากเครื่องจักร เครื่องยนต์การก่อสร้าง
เครื่องขยายเสียง ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เครื่องบิน ฯลฯ ซึ่งคำนวณได้ค่าเกินกว่า 10 เดซิเบล เอ ก็จะถือเป็น “เสียงรบกวน” และถือเป็นเหตุรำคาญตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งหน่วยงานผู้มีหน้าที่จะต้องเข้ามาควบคุมดูแลเพื่อระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นดังกล่าว
อาทิ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กองบังคับการตำรวจจราจร
กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ หน่วยงานท้องถิ่นต่างๆเป็นต้น
โดยผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น
สามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองได้ด้วยการตั้งรูปคดีว่า หน่วยงานผู้มีหน้าที่ละเลยหรือล่าช้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
อันเป็นคดีปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.
2542 และหากผลจากการละเลยหรือล่าช้าต่อหน้าที่ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วย
ผู้ฟ้องคดีก็อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีละเมิด ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง
(3)แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ได้อีกด้วย
โดยในการวินิจฉัยคดีประเภทนี้ศาลจะพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า
เสียงดังที่เกิดขึ้น นั้น เข้าข่ายเป็นเสียงรบกวน
ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คือเกิน 10 เดซิเบล เอ หรือไม่ ? และหากเป็นกรณีเสียงดังที่เกินกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้
ศาลก็จะพิจารณาต่อว่าหน่วยงานผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลในเรื่องนั้นๆได้ละเลยหรือล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
? (แล้วจึงจะพิจารณาต่อไปว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ? ในกรณีที่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการละเลยหรือล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่มาด้วย)
เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ตรงจากเฮียสตางค์
เจ้าของกิจการห้องชุดให้เช่าซึ่งเป็นอาคารสูง 7 ชั้นที่เปิดกิจการมานานแล้ว
แต่อยู่ๆ ก็มีคอนโดมิเนียมสูง 27 ชั้น ผุดขึ้น มาอยู่ข้างๆ
ซึ่งนอกจากจะสร้างอาคารผิดแบบแล้ว ยังทำให้ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในอาคารของเฮียสตางค์ต้องทนรำคาญกับเสียงดังรบกวนที่เกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด
300 แรงม้า และเสียงดังจากเครื่องปรับอากาศของคอนโดมิเนียมดังกล่าวด้วย
เฮียสตางค์ได้เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อสำนักงานเขตและกรุงเทพมหานครแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
สุดท้ายจึงต้องนำเรื่องขึ้น สู่ศาลปกครอง
คดีนี้้...
ศาลปกครองได้แต่งตั้ง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น
ซึ่งผลปรากฏว่า ระดับเสียงที่เกิดจากการทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 300
แรงม้า ซึ่งตั้ง อยู่ในมุมตึกชั้น ล่างของคอนโดมิเนียม โดยผลจากการตรวจวัดที่อาคารของเฮียสตางค์
ณ บริเวณข้างสระว่ายน้ำ ได้ค่าระดับที่ 14.3 เดซิเบล เอ และบริเวณห้องนอนชั้น
1 ได้ค่าระดับที่ 16.5 เดซิเบล เอ ซึ่งอยู่ในระดับที่ถือเป็นเสียงรบกวนตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
คือเกินกว่า 10 เดซิเบล เอ อันถือเป็นเหตุรำคาญตามกฎหมายสาธารณสุข
ในส่วนของเสียงที่เกิดจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศนั้น ผลจากการตรวจวัดในเวลากลางวัน
ที่บริเวณชั้น 7 ได้ค่าระดับที่ 2.4-5.6 เดซิเบล เอ และในเวลากลางคืน ได้ค่าระดับที่ 4.4-9.1 เดซิเบล เอ ซึ่งยังไม่เข้าข่ายเป็นเสียงรบกวนตามกฎหมาย
โดย พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.
2535 ได้กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจในการห้ามและระงับหรือจัดการกับเหตุรำคาญที่เกิดขึ้น ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุรำคาญจากกลิ่น
แสง เสียง ความร้อน หรือกรณีอื่นใด ที่ทำให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของบุคคล
โดยในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นจากสถานที่เอกชนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งให้เจ้าของอาคารระงับเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควร
และหากเจ้าของอาคารหรือผู้ครอบครองอาคารไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็สามารถใช้อำนาจเข้าดำเนินการเพื่อระงับเหตุรำคาญที่เกิดขึ้น ได้ โดยจัดการตามความจำเป็น
และเจ้าของอาคารจะต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากการระงับเหตุรำคาญนั้น รวมทั้ง หากเหตุรำคาญดังกล่าวอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือกระทบต่อความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชน เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถออก
คำสั่งห้ามมิให้มีการใช้สถานที่นั้น ทั้ง หมดหรือบางส่วน จนกว่าจะได้มีการแก้ไขหรือระงับเหตุรำคาญนั้น
แล้วก็ได้
ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้ สำนักงานเขตมิได้ใช้อำนาจดำเนินการตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด
ทั้ง ที่ได้มีการร้องเรียนถึงความเดือดร้อนตลอดมา กรณีจึงถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
ซึ่งข้อโต้แย้งที่ว่าได้มีการออกคำสั่งให้เจ้าของคอนโดมิเนียมระมัดระวังมิให้เกิดเสียงรบกวนแล้วนั้นศาลเห็นว่ายังไม่เพียงพอที่จะระงับเหตุรำคาญที่เกิดขึ้น ได้ เนื่องจากสำนักงานเขตยังมีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพิ่มขึ้น ในการเข้าไประงับเหตุรำคาญนอกเหนือจากการออกคำสั่งเพียงอย่างเดียว
รวมทั้ง
อาจจัดการตามความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญเกิดขึ้น ได้ แต่ก็มิได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด...
จึงพิพากษาให้สำนักงานเขตและกรุงเทพมหานครดำเนินการให้คอนโดมิเนียมดังกล่าวระงับเหตุรำคาญอันเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
รวมทั้งกำหนดวิธีการตามที่เห็นสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดเสียงรบกวนจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดังกล่าวขึ้นอีก
ทั้งนี้ภายใน 60 วัน (อ.24/2553)
นอกจากนี้ ...ได้มีกรณีผู้นำคดีมาฟ้องศาลปกครอง
เนื่องจากทนเสียงดังรบกวนจากการเปิดให้บริการของสนามฟุตซอลที่อยู่หลังบ้านไม่ไหว ทั้ง เสียงจากเครื่องขยายเสียงและเสียงที่เกิดจากผู้เล่น ทั้ง ในช่วงเวลากลางวันไปจนถึงช่วงเวลากลางคืน แม้จะเป็นเวลาหลัง 21.00 น. อันเป็นเวลาพักผ่อนแล้วก็ตามคดีนี้ศาลปกครองยังไม่ได้พิพากษาตัดสิน แต่ศาลได้กำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวโดยมีคำสั่งให้สนามฟุตซอลดังกล่าวเปิดให้บริการได้ถึงเวลา 21.00 น.เท่านั้น จากแต่เดิมที่เคยเปิดบริการถึง
23.00 น. ซึ่งเหตุผลของผู้ประกอบกิจการที่อ้างว่า
ตนได้ลงทุนสร้างสนามด้วยจำนวนเงินสูงถึง 13 ล้านบาท โดยกู้เงินมาก่อสร้างและมีภาระที่ต้องผ่อนชำระกับธนาคารสูงถึงเดือนละ
120,000 บาท การต้องปิดสนามในเวลา 21.00 น.
ย่อมมีผลต่อรายรับของตนอย่างรุนแรงนั้น ศาลเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการลงทุนในการประกอบธุรกิจที่ผู้ลงทุนย่อมมีเสรีภาพและย่อมมีความเสี่ยงที่จะได้กำไรหรือขาดทุน
อันเป็นเรื่องในทางธุรกิจ แต่ในการดำเนินกิจการนั้นจะต้องไม่เป็นการไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่จะดำรงอยู่อย่างปกติสุขด้วย... ข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นเหตุผลที่ศาลไม่อาจรับฟังได้...ผมว่า... ปัญหาต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น ถ้าทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย
ทั้ง ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเองรวมทั้งผู้ประกอบกิจการต่างๆ ที่อย่านึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว
ควรนึกถึงใจเขาใจเราด้วย เพราะไม่มีใครที่อยากจะได้รับความเดือดร้อนรำคาญไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ
ก็ตาม โดยส่วนตัวผมถือคติที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” ฉะนั้น จงอย่าสร้างทุกข์ให้แก่ใครเลยครับ หากไม่อยากเดือดร้อนต้องมาแก้ปัญหาในภายหลัง...
จบเรื่องคดี... ผมกับพี่โจอี้ก็คุยกันต่อด้วยเรื่องกีฬา
ดนตรี ไปจนถึงการเมือง สนทนากันอย่างถูกคอและมีอรรถรสจนถึงขนาดที่คนเดินผ่านไปผ่านมาต้องชะโงกหน้าเข้ามาดู... ผมสองคนหันมาสบตากัน ก็รู้ทันทีว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องแยกย้าย ไม่เช่นนั้น บ้านผมจะกลายเป็นแหล่งกำเนิดเสียงรบกวน
(ชั่วคราว)
ไปเสียเอง...
ว่าแล้วก็ออกไปขอโทษข้างบ้านเสียหน่อย... ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาว่า “เสียงรบกวนเล็กๆ น้อยๆ บ้านใกล้เรือนเคียงก็ต้องมีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา” ...ผมเดินอมยิ้ม กลับเข้าบ้านด้วยรู้สึกว่าประโยคนี้คุ้นๆ
แฮะ...
ครองธรรม ธรรมรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น