“รถพยาบาล” วิ่ง สู้ ฟัด !
ช่วงนี้เราจะได้ยินข่าว
“แท็กซี่วิ่งสู้ฟัด” กันอยู่บ่อยๆ ผมเลยนำคดี
“รถพยาบาลวิ่งสู้ฟัด” มาฝากกันบ้าง...
ระยะหลังนี้ดวงผมสมพงษ์กับรถฉุกเฉิน
ไปไหนมาไหนมักจะได้ยินเสียงไซเรนของรถพยาบาลบ้าง รถดับเพลิงบ้าง บอกตามตรงคนหนุ่มอย่างผมก็ยังใจคอไม่ดี
รีบหลบเข้าซ้ายให้เขาแซงไปก่อนเลย แถมตายังไปชำเลืองคันอื่น เห็นบางคันก็รีบหลบให้
บางคันก็เก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะหลบไปทางไหนดี ปล่อยให้รถฉุกเฉินหาทางซิกแซกแซงไปเองแบบมืออาชีพ
แต่บางคันก็ไม่สนใจเพราะต่างคนต่างรีบ ยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน เรียกได้ว่าตัวใครตัวมันเห็นอย่างนี้แล้วก็ให้สะท้อนในใจ...บ้านเมืองเรานี้ยังขาดระเบียบวินัยบนท้องถนนกันอยู่มาก อันที่จริง...กฎหมายจราจรทางบกได้มีบทบัญญัติกำหนดหน้าที่ให้ผู้ขับขี่รถฉุกเฉินต้องปฏิบัติในขณะปฏิบัติหน้าที่
รวมทั้ง ได้กำหนดหน้าที่สำหรับผู้ขับขี่รถบนท้องถนนต้องปฏิบัติในกรณีพบเจอรถฉุกเฉินไว้ด้วยซึ่งเรื่องเล่าดีดีจากคดีปกครองที่นำมาฝากในวันนี้
จะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของทั้ง สองฝ่ายได้เป็นอย่างดี โดยคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้ความเป็นธรรมกับพนักงานขับรถพยาบาลซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
ให้ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ตามคำสั่งของหน่วยงานต้นสังกัด
เรื่องราวของคดีจะเข้มข้นและน่าสนใจเพียงไร...มาติดตามกันเลยครับ
ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานขับรถของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง
สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ค่ำวันเกิดเหตุ
ผู้ฟ้องคดีได้รับคำสั่งให้ขับรถพยาบาลส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง โดยขณะปฏิบัติหน้าที่ผู้ฟ้องคดีได้ใช้สัญญาณไฟวับวาบและเปิดเสียงไซเรนตลอดทาง
จนมาถึงบริเวณแยกที่เกิดเหตุ ผู้ฟ้องคดีได้เร่งความเร็วเพื่อจะขับแซงรถสามล้อรับจ้างที่วิ่งอยู่ด้านหน้าโดยหักพวงมาลัยออกมาทางด้านขวา
ขณะเดียวกันรถสามล้อรับจ้างก็ได้เลี้ยวเข้าทางแยกด้านขวาเพื่อเข้าหมู่บ้านโดยไม่ให้สัญญาณไฟ
ผู้ฟ้องคดีจึงเบรกและหักหลบแต่ไม่พ้นเนื่องจากถนนลื่นเพราะฝนตก รถพยาบาลจึงพุ่งชนท้ายรถสามล้อ
เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต...จังหวัด
(ผู้ถูกฟ้องคดี) จึงแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เนื่องจาก พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. 2539 (มาตรา 10 ประกอบมาตรา 8) ได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานได้เฉพาะกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้นโดยกรณีนี้คณะกรรมการฯ
ได้รายงานผลการตรวจสอบว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากรถสามล้อรับจ้างเลี้ยวตัดหน้าอย่างกะทันหันโดยไม่ให้สัญญาณไฟ
ความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงมิได้เกิดจากความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดี
จึงไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายผู้ถูกฟ้องคดีเห็นพ้องด้วยจึงรายงานผลการตรวจสอบต่อกระทรวงการคลัง
แต่กระทรวงการคลังเห็นว่าอุบัติเหตุเกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีขับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อที่จะแซงสามล้อรับจ้างบริเวณใกล้ทางแยกซึ่งเป็นเขตห้ามแซง
ผู้ฟ้องคดีควรชะลอความเร็วลง ประกอบกับฝนตกถนนลื่นจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก
พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าผู้ฟ้
องคดีได้กระทำการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละ
60 ของค่าเสียหายทั้งหมด ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยจึงยื่นอุทธรณ์ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาแล้วยืนตามคำสั่งเดิม
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม
จึงนำเรื่องมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยวางหลักไว้ว่า
ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีขับรถพยาบาลซึ่งเป็นรถฉุกเฉินไปปฏิบัติหน้าที่
ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยมีสิทธิขับรถเกินอัตราความเร็วที่กำหนดไว้
ขับรถผ่านสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรใดๆ ที่ให้รถหยุด แต่ต้องลดความเร็วของรถให้ช้าลงตามสมควร
ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือข้อบังคับการจราจรเกี่ยวกับช่องเดินรถ ทิศทางของการขับรถหรือการเลี้ยวรถที่กำหนดไว้ เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ
100 กม./ชม. โดยเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเปิดเสียงสัญญาณไซเรนตลอดทาง
ผู้ขับขี่รถคันอื่นจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 76
แห่ง
พ.ร.บ.เดียวกัน
ซึ่งกำหนดให้ผู้ขับขี่ที่เห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัติหน้าที่ ต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อนโดยต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้ายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
และต้องใช้ความระมัดระวังตามควรแก่กรณี ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
เมื่อผู้ฟ้ องคดีขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องได้เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้านโดยไม่ให้สัญญาณไฟ
อันแสดงว่าผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา
76 ดังกล่าว ทั้ง ยังเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ผู้ขับขี่ซึ่งจะเลี้ยวรถต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขนหรือไฟสัญญาณอีกด้วยกรณีนี้จึงถือได้ว่า
ผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ในการขับรถพยาบาลโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วแต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เกิดจากการที่ผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่องเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ
จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี
(คดีหมายเลขแดงที่ อ.152/2554)
ชัดเจนแล้วนะครับ
! สำหรับบทบาทและหน้าที่ระหว่างผู้ขับขี่รถฉุกเฉินกับผู้ขับขี่รถทั่วไปที่พบเจอรถฉุกเฉิน
ผมว่าอาชีพขับรถพยาบาลนี้น่าเห็นใจ...
เพราะต้องทำงานอยู่บนความเป็นความตายของผู้คน
ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างเราๆ จึงควรช่วยกันอำนวยความสะดวกด้วยการให้ทาง เพราะนอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายอันแสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนนของคนไทยแล้ว
เรายังได้บุญจากการมีน้ำ ใจช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนอีกด้วย เพราะไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราอาจเป็นผู้ที่ต้องอยู่ในรถพยาบาลก็เป็นได้...
งานนี้...แท็กซี่วิ่งสู้ฟัด
ยังต้องหลีกทางให้ รถพยาบาลวิ่งสู้ฟัด เลยนะคร๊าบ...
ครองธรรม ธรรมรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น