วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

ตีตรวน'อปท.'ทุจริต มท.ชงกฎหมายเพิ่มโทษปรับ-จำคุก-ตัดสิทธิ 10 ปี

ตีตรวน'อปท.'ทุจริต มท.ชงกฎหมายเพิ่มโทษปรับ-จำคุก-ตัดสิทธิ 10 ปี
ฐานเศรษฐกิจ  ฉบับวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑

          มหาดไทยรับลูกป.ป.ช.ชงแก้กฎหมายเพิ่มโทษอปท.โกง กรณีจงใจลงสมัครรับเลือกตั้งให้ปรับ 2 หมื่น-2 แสน จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
          ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุม ได้อนุมัติเห็นชอบข้อเสนอแนะเรื่องมาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นเนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริตของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
          ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย รายงานว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ได้เสนอมาตรการฯดังกล่าวต่อครม.เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดแล้ว หรือกรณีที่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นที่กระทำการทุจริตให้พ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพได้ เพราะบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีข้อจำกัดและขาดความชัดเจน และเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นถูกตรวจสอบว่า กระทำการทุจริตบุคคลนั้นจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีการสอบสวนและวินิจฉัยสั่งให้พ้นจากตำแหน่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ ร้อคุณสมบัติเลือกตั้ง
          และเพื่อกลั่นกรองบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นให้ได้มาซึ่งผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติหน้าที่รักษาประโยชน์ส่วนรวมและของประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงการจัดทำบริการสาธารณะของ อปท.เป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ ป้องกันการทุจริตและการประพฤติมิชอบในวงราชการ และสร้างเสริมการบูรณาการงานภาครัฐตามหลักธรรมาภิบาล และกำหนดกลไกการบริหารงานภาครัฐเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ
          กระทรวงมหาดไทย(มท.) จึงได้ดำเนินการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยผลการพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โดยแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะของบุคคลซึ่งต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น จาก เดิม กำหนดให้บุคคลผู้อยู่ในระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
          ปรับแก้ใหม่เป็นบุคคลผู้ที่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง และจากเดิม กำหนดให้เป็นบุคคลล้มละลายจากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ
          ปรับแก้ใหม่ เป็น บุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลละลายทุจริต กรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้รวมถึงกรณีเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง และเคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่า เป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วยโทษคุก-ปรับ-ถอนสิทธิ10ปี
          ทั้งยังเพิ่มบทกำหนดโทษกรณีบุคคลซึ่งสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมัครรับเลือกตั้ง โดยเพิ่มบทบัญญัติว่า "ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่า ตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปีและปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี"
          พร้อมกันนี้ได้แก้ไขกฎหมายจัดตั้ง อปท.รวม 5 ฉบับ เกี่ยวกับการดำเนินการการสอบสวน การวินิจฉัย และการสั่งให้สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้การดำเนินการมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากเดิม ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็ว
          ปรับแก้ใหม่ เป็น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็ว แม้ว่าสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นจะได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด เว้นแต่เพราะตาย รวมทั้งหากผลการสอบสวนปรากฏว่า มีเหตุตามที่ดำเนินการสอบสวน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าผู้นั้นจะได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อนแล้วหรือไม่ก็ตาม โดยในคำสั่งดังกล่าวให้ระบุเหตุที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งไว้ และให้มีผลตั้งแต่วันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่ง ถ้าในขณะที่มีคำสั่งดังกล่าวผู้นั้นกำลังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นอันเป็นผลจากการเลือกตั้งต่างวาระกันให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งที่กำลังดำรงอยู่ด้วย และให้ถือว่า วันที่สั่งให้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวเป็นวันเริ่มนับระยะเวลาต้องห้ามการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
          สั่งพ้นจากตำแหน่งทุกกรณี
          อย่างไรก็ดี การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้ยังได้ยกเลิกคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามบางประการของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นหลายประการ อาทิ ยกเลิกข้อกำหนดที่ว่า "ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นต้องไม่เป็นผู้ที่พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่กระทำกับ อปท.ยังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามบางประการนั้นได้ถูกนำไปกำหนดไว้เป็นหลักเกณฑ์กลางเพื่อใช้กับสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว
          รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกของพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2542 โดยกำหนดให้บุคคลผู้เคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นซึ่งถูกให้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากกระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก
          และแก้ไขเพิ่มเติมการ กระทำอันเป็นการต้องห้ามของผู้บริหารท้องถิ่น เช่น เดิมกำหนดให้ ผู้บริหารท้องถิ่นนั้นหรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระ ทำกับหรือให้แก่ อปท.โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า เป็นการต่างตอบแทนหรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน เป็นต้น
          ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมการดำเนินการเกี่ยวกับการสอบสวน วินิจฉัย และการสั่งให้ผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง ให้สามารถดำเนินการสอบสวนแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ในทุกกรณีแม้ผู้ถูกกล่าวหานั้นจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม
          โดยเพิ่มเติมข้อกำหนดว่า "ถ้าเห็นว่าผู้ถูกสอบสวนมีพฤติการณ์ตามที่ถูกสอบสวน ให้ผู้ว่าฯเสนอผลการสอบสวนพร้อมความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ภายใน 15 วันนับแต่วันที่สอบสวนเสร็จ และให้รมว.มหาดไทยสั่งให้ผู้ถูกสอบสวนพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าผู้นั้นจะได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อนแล้วหรือไม่ก็ตาม โดยในคำสั่งดังกล่าวให้ระบุเหตุที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งไว้ และให้มีผลตั้งแต่วันที่รมว.มหาดไทยมีคำสั่ง ถ้าในขณะที่มีคำสั่งดังกล่าวผู้นั้นดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นอันเป็นผลจากการเลือกตั้งต่างวาระกันให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งที่กำลังดำรงอยู่ด้วย และให้ถือว่าวันที่สั่งให้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวเป็นวันเริ่มนับระยะเวลาต้องห้ามการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้ คำสั่งของรมว.มหาดไทยตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด"
          ทั้งนี้ เมื่อครม.รับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป.ป.ช.ทราบต่อไป หากไม่มีข้อทักท้วงใดๆให้ถือเป็นมติครม.ตามที่เสนอ
          "ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตังไม่ว่าคดีนันจะถึงที่สุดแล้วหรอไม่ห้ามมีให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง"
          บรรยายใต้ภาพ
          พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
          ยื้อก.ม.เลือกตั้งท้องถิน
          นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น 6 ฉบับว่า มีความก้าวหน้า โดยมีการพิจารณาไปแล้ว 87 มาตรา จาก 130 มาตรา แต่ 80 มาตราดังกล่าวเป็นไปด้วยความยุ่งยาก เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องการกำหนดกระบวนการที่ดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม มีการกำหนดรายละเอียดขั้นตอน และกำหนดข้อห้ามการกระทำต่างๆ ภายในหน่วยเลือกตั้งและบริเวณเลือกตั้งจำนวนมาก ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาจะต้องพิจารณาว่าประเด็นเหล่านี้จะปฏิบัติได้หรือไม่ จะปฏิบัติอย่างไร และมีโทษอะไรที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถเสร็จภายในเดือน เมษายนได้ เนื่องจากมีวันหยุดจำนวนมาก
          ส่วนที่กระทรวงมหาด ไทย เสนอ ครม.ให้แก้ไขปรับแก้คุณสมบัติผู้ลงสมัครเป็นผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เคยเกี่ยวข้องกับการทุจริตเพื่อไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งต่อไปนั้น คณะกรรมกฤษฎีกาได้ปรับคุณสมบัติเหล่านี้ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการประมวลเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามในเรื่องการกระทำการทุจริตเอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นมันถูกเขียนในร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่ต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น