สกู๊ปพิเศษ: สกัดโกง'ไทยนิยม' เดิมพันสูงของรัฐบาล

สกู๊ปพิเศษ: สกัดโกง'ไทยนิยม' เดิมพันสูงของรัฐบาล

สยามรัฐ  ฉบับวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

ทีมข่าวหน้า 1           คิกออฟไปแล้วอย่างเป็นทางการสำหรับโครงการ "ไทยนิยมยั่งยืน" โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงพื้นที่ จ.นครปฐม เป็นแห่งแรก ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่จะขับเคลื่อนลงไปใน 81,064 หมู่บ้านทั่วประเทศ โดยมีทีมไทยนิยม 7,463 ทีมลงไปดำเนินการ           ในจังหวะที่ดูเหมือนจะตั้งรับมรสุมทางการเมือง จากปมนาฬิกาหรู ที่กระเพื่อมเป็นระยะๆ "ไทยนิยมยั่งยืน" กลายเป็น "หมัดเด็ด" พลิกสถานการณ์ให้รัฐบาล คสช. กลับมาเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายการเมือง ว่าเป็นนโยบาย"เงินผัน" กระจายเงินลงไปสู่รากหญ้า ทั้งที่รายละเอียดมีความซ้ำซ้อนกับโครงการที่มีอยู่แล้วในขณะที่ฝ่ายการเมือง ถูกตรึงกับหมุด ยังไม่ปลดล็อกการเมือง ถูกจับตาความเคลื่อนไหวต่างๆ           บนตรรกะที่ว่า หากมีเลือกตั้งในห้วงที่เรตติ้งของ คสช.อยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยก็จะชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดเช่นเดิม และนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ โครงการไทยนิยมยั่งยืนจึงเหมือนเป็น "เดิมพัน" ของ คสช. ไม่ให้รัฐประหารเสียของ!?           "ผมมาไม่ได้ต้องการให้ทุกคนมารักหรือกดดันผม ไม่ใช่หวังผลการเมืองแต่เรายังมีความหวังในการแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างยั่งยืน จากวันนี้เป็นต้นไปคณะทำงานไทยนิยม ยั่งยืน จะลงพื้นที่ทุกหมู่บ้าน 7,000 กว่าชุด เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด เรื่องการเลือกตั้งค่อยว่ากันไปตามกฎหมายตามขั้นตอน ต้องได้รัฐบาลที่เป็นของปวงชนชาวไทย ถ้าเลือกรัฐบาลที่เป็นของใครของมันจะเป็นปัญหาแบบเดิมก็ตีกันอีก จึงต้องเลือกรัฐบาลที่ดูแลคนทั้งประเทศ ส.ส.ส่งความต้องการขึ้นไป รัฐบาลจะดูว่าตรงไหนควรจะทำ ไม่ใช่หว่านไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะพอ"           นายกฯ กล่าวกับกลุ่มเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม           ด้านกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเจ้าภาพหลักโครงการไทยนิยม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของโครงการไทยนิยมยั่งยืน ว่า เนื่องจากแต่ละตำบลมีหมู่บ้านไม่เท่ากัน การลงพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลาจึงมีเวลาประมาณ 1 เดือน ทีมงานลงพื้นที่บางชุดจึงมีเวลาทำงานมากน้อยไม่เท่ากัน เช่น วันแรกลงพื้นที่พร้อมกันหมด แต่วันที่สองตำบลที่มีหมู่บ้านน้อยอาจจะไม่ลงได้ ขณะที่ตำบลที่มีหมู่บ้านมากอาจต้องลงต่อเนื่อง แต่ละพื้นที่จะทำตารางของเขาเองขณะนี้ลงพื้นที่ 15,000 หมู่บ้าน มีผู้เข้าร่วมโครงการเฉลี่ยหมู่บ้านละ 120 คนซึ่งการพูดคุยเป็นไปตามกรอบที่เราวางไว้คือ 1.พูดคุยและรับฟังความต้องการของประชาชน โดยขณะนี้รอการประมวลผลอยู่ เพราะหลายฝ่ายต้องดูเรื่องความพร้อมของพื้นที่ เช่น พื้นที่ใดที่ต้องการสร้างถนนแต่พื้นที่เป็นป่าไม่สามารถสร้างถนนได้ โดยผู้ทำแผนงานโครงการจะต้องไปดู จนสามารถตั้งเป็นแผนงานโครงการได้และ 2.สร้างความเข้าใจเรื่องต่างๆ เช่นเรื่องสัญญาประชาคม ประชาธิปไตย ยาเสพติด และเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งจากการประเมินถือว่าภาพรวมในการลงพื้นที่ถือว่าดี           ทั้งนี้ สิ่งที่รับรู้จากการสะท้อนของชาวบ้าน คือ ความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามการตอบสนองถือว่าดี เพราะประชาชนเขาดีใจเวลาที่มีข้าราชการไปลงพื้นที่เพราะเขามีปัญหามาก และจะได้บอกปัญหาให้ฟัง           ส่วนนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวสรุปภาพรวมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ "ไทยนิยมยั่งยืน" ว่าทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบลจำนวนกว่า 7,600 ทีม ลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนเพื่อทำประชาคมหมู่บ้านชุมชนในทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานครได้ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาความจำเป็นของหมู่บ้าน           ชุมชนเพื่อจะเสนอขอรับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีกรอบห้วงเวลา ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 21 ก.พ.-20 มี.ค.นี้ โดยตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่ผ่านมา (21 -25ก.พ.) ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบล ได้ลงพื้นที่แล้ว กว่า 1.2 หมื่นชุมชน หมู่บ้านมีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจ เดินทางเข้าร่วม ทำประชาคมหมู่บ้านชุมชนอย่างต่อเนื่อง มียอดประชาชนร่วมทำประชาคมทะลุ 1.5 ล้านคน           ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า นายกฯเอง ก็จับอารมณ์ความรู้สึกของสังคมได้ในเรื่องของการจับตาปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งหากปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการนี้ แทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และกอบกู้ศรัทธาต่อรัฐบาลให้กลับคืนมา อาจกลับตาลปัตร           จึงไม่แปลก ที่ นายกฯจะ "ตีปลาหน้าไซ" ไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ โดยกล่าวในตอนหนึ่งกับประชาชนที่ ต.มหาสวัสดิ์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐมในตอนหนึ่งว่า จะไม่ยอมให้เกิดการทุจริตในโครงการไทยนิยมหากใครพบว่ามีการทุจริตขอให้แจ้งนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการให้และอย่าปล่อยให้ใครมาบิดเบือนว่าจะทำอะไรให้อีกเพราะเราจะต้องใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า รัฐบาลจะให้เงินแก่ทุกคนทุกครัวเรือนไม่ได้ประชาชนต้องช่วยตัวเอง นอกจากนี้ประชาชนต้องอย่าให้เขามาบิดเบือนว่าจะให้ราคาข้าวเท่านั้นเท่านี้มิฉะนั้นจะทำให้ราคาข้าวยิ่งตก และอย่าให้ใครมายุแยงให้เกิดปัญหาอีก           "เรื่องการทุจริตรัฐบาลจะให้มีการตรวจสอบโครงการต่างๆ ต้องไล่ดูตั้งแต่ระดับนโยบายที่ผ่าน ครม. รัฐมนตรีกระทรวง ลงไปสู่ระดับล่างโดย ผมจะรับผิดชอบในภาพรวมทั้งหมด แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อมีปัญหาแล้วมาโวยวายให้ผมรับผิดชอบทั้งหมด ผมรับผิดชอบแน่นอนแต่ก็ต้องดูข้อกฎหมายว่าใครผิดก็ต้องเอาเข้าคุก"           และตอกย้ำด้วย พล.ท.สรรเสริญแก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกฯ ได้เน้นย้ำถึงโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่ขณะนี้ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาระดับตำบล ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการ หน่วยงานความมั่นคง ปราชญ์ชาวบ้าน และจิตอาสา ได้เริ่มลงพื้นที่สำรวจข้อมูลตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า จะต้องสะท้อนความต้องการของประชาชน และดำเนินการอย่างโปร่งใสทั้งนี้ เมื่อรวบรวมข้อมูลจากประชาชนแล้วจะจัดเตรียมแผนงาน โครงการ และงบประมาณต่อไป โดยจะครอบคลุมการพัฒนากลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือเศรษฐกิจฐานราก 3.5 หมื่นล้านบาท การพัฒนาเชิงพื้นที่ชุมชน การท่องเที่ยว กองทุนหมู่บ้าน 3.45 หมื่นล้านบาท และการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสิ้น 9.95 หมื่นล้านบาท           "นายกฯ อยากให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและยกระดับเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้า การลงทุนที่มีแนวโน้มดีขึ้น พร้อมทั้งตระหนักดีว่าจะต้องไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยโครงการที่เคยมีมาในอดีต และไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับทำงานอย่างมุ่งมั่น มีอุดมการณ์และซื่อสัตย์ และขอความร่วมมือประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตา หากพบความไม่โปร่งใสขอให้แจ้งไปยังนายกฯ ได้ทุกกรณี"           ยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ฝ่ายการเมืองมองเห็น คสช. อย่างไม่ไว้วางใจ และหวาดระแวงเรื่องการสืบทอดอำนาจด้วยแล้ว การดำเนินการตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน จักต้องเดินไปด้วยโปร่งใสและระมัดระวังอย่างที่สุดโดยไม่เปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นอันขาด