ลดสมาชิก อบต.แลกประหยัดงบ4,700ล้าน ได้หรือเสีย? |
คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ |
ทีมข่าวคมชัดลึก ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ หลังจากที่ถูกแช่แข็งไปนานนับตั้งแต่มีการรัฐประหารเมื่อปี 2557 และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งขั้นตอนล่าสุดได้ผ่านกระบวน การพิจารณาของต้นทางคือ "กระทรวงมหาดไทย"แล้ว และอยู่ในชั้นคณะกรรมการ กฤษฎีกา โดยประเด็นที่น่าสนใจและถูกตั้งคำถาม ได้รับการ "คอนเฟิร์ม" จาก "บิ๊กป้อม" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าได้เสนอให้ลดจำนวนสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลลง จากเดิมกำหนดให้มาจากหมู่บ้านละ 2 คน เหลือหมู่บ้านละ 1 คน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อประหยัดงบประมาณ ซึ่งจะประหยัดได้ถึง 4,700 ล้านบาท "ทีมข่าวคมชัดลึก" จึงได้ไปสำรวจถึงที่มาที่ไป ข้อดีข้อเสีย ว่าการ "ลดจำนวน" นั้นจำเป็นหรือไม่ และจะส่งผลกระทบอย่างไรในอนาคต โดย "สุทธิพงษ์ จุลเจริญ" อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดเผยว่า จำนวนสมาชิก อบต.จากหมู่บ้านที่จากเดิมมีอยู่หมู่บ้านละ 2 คนนั้น ทางกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วว่ามีมากเกินไป ควรจะลดลงให้เหลือครึ่งเดียว เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน เพราะหมู่บ้านทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 5 หมื่นหมู่บ้าน หากลดจำนวนสมาชิก อบต.ลง ก็จะลดเงินงบประมาณได้ถึง 4,700 ล้านบาทต่อปี ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าแต่ละหมู่บ้านจะไม่มีบุคคลที่เป็นตัวแทนชาวบ้าน รวมถึงงบประมาณแผ่นดินในการนำมาพัฒนาท้องถิ่นก็มีอยู่น้อย ซึ่งกระทรวงจะได้นำเงินที่เหลือจากการลดจำนวนมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น "หากมองถึงความคุ้มค่าจะเห็นว่า สมาชิก อบต.หนึ่งคนมีวาระ 4 ปี จะต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนเป็นจำนวนเท่าไหร่ ฉะนั้น หากเราลดจำนวนลงได้ก็จะมีเงินมาใช้พัฒนา" ส่วนข้อกังวลเรื่อง สมาชิก อบต.ทั่วประเทศอาจเกิดความไม่พอใจและเคลื่อนไหวนั้น "สุทธิพงษ์" ระบุว่า สมาชิกทุกท่านน่าจะเข้าใจและเห็นด้วย เพราะก่อนหน้านี้มีการเสนอให้ควบรวมระหว่าง อบต.ต่างๆ ให้เป็นเทศบาลเดียว ซึ่งการขอลดจำนวนสมาชิกลงก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสมาชิก อบต.เลย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ "ท้องถิ่น" ซึ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ และต้องใช้กฎหมายนี้โดยตรงก็มีมุมมองที่น่าสนใจ เช่น "สัจจพจน์ บุญเมือง" นายกองค์การบริหารส่วนตำบลจำป่าหวาย อ.เมือง จ.พะเยา ระบุว่า ในส่วนของข้อดีนั้น เป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้มากถึงเกือบ 5,000 ล้านบาทซึ่งเป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุด และการที่ลดสมาชิกในแต่ละหมู่บ้านเหลือเพียงคนเดียว ทำให้การทำโครงการหรือยื่นโครงการพัฒนาเป็นไปอย่างมีเอกภาพ คล่องตัว ไม่มีการแก่งแย่งโครงการกันจนนำไปสู่การแตกแยกของคนในหมู่บ้านเป็น 2 ฝ่ายอย่างกับที่ อบต.ส่วนใหญ่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ส่วนข้อเสีย เมื่อยุบรวมกันเป็นเทศบาลตำบล ตำบลที่มีหมู่บ้านน้อยเช่น 6 หมู่บ้าน จะเสียเปรียบตำบลที่มี 13-18 หมู่บ้าน แม้ตามกฎหมายจะระบุว่าถ้ามีจำนวนหมู่บ้านน้อยกว่า 6 หมู่บ้านให้มีสมาชิก อบต.2 คนก็ตาม อย่างไรก็ยังน้อยกว่าของตำบลที่มี 13-15 หมู่บ้านอยู่ดี เวลาของบประมาณพัฒนา โครงการที่ขอไปอาจจะตกไป ทำให้ตำบลที่มีหมู่บ้านน้อยเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย และเวลาทำงานในพื้นที่ตัวเอง คนทำงานจะหายไปครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้งานสะดุดลงได้ แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องการปฏิรูปประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ก็ยินดีปฏิบัติตามโดยคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ส่วนผล กระทบโดยรวมนอกจากจำนวนคนน้อยที่ลง ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าจะกระทบต่อภาพรวมการทำงานอย่างไร ด้าน "ธานี มานะณีวรรณ" กำนันตำบลทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย ในฐานะนายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดเชียงราย มองว่าการลดปริมาณสมาชิก อบต.ลง ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบในการบริหารมากนักเพราะแต่ละหมู่บ้านที่อยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมีปริมาณประชากรไม่มากเท่ากับในเขตเทศบาล แต่หากมีการยุบรวมเป็นเทศบาลเลยก็จะเป็นผลดีกับประชาชนเพราะเงินอุดหนุนของทางรัฐบาลที่จะช่วยเหลือระหว่าง เทศบาล กับองค์การบริหารส่วนตำบลนั้นต่างกันมาก หากรวมกับเทศบาลแล้วก็จะทำให้งบประมาณในการช่วยเหลือประชาชนมีมากขึ้น ขณะที่ "นักวิชาการด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น"อย่าง "อุดม ทุมโฆสิต" คณะ รัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ด้านการปกครองท้องถิ่นวิเคราะห์ ว่า ในหลักการเดิมที่เขียนกฎหมายได้นำจำนวนประชากรในหมู่บ้านมาคำนวณว่า ผู้แทน 1 คน ควรดูแลประชากร 100 ครัวเรือน เพื่อให้การดูแลชาวบ้านเป็นไปอย่างทั่วถึง แต่ในภาวะปัจจุบันพบว่าสภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่นนั้น ไม่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง และเมื่อเข้ามาทำหน้าที่พบการเรียกร้องค่าตอบแทน ในรูปแบบของเงินเดือน ทำให้กลายเป็นภาระด้านงบประมาณที่กระทรวงมหาดไทยต้องแบกรับ ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นที่สมาชิกสภาท้องถิ่น ควรเป็นระบบอาสาสมัคร ไม่มีเงินเดือน แต่ได้รับค่าตอบแทน เช่น ค่าเบี้ยประชุมเท่านั้น และเมื่อมีปัญหาทั้งภาระงบประมาณ และการทำงานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ เข้าใจว่าเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงใช้วิธีลดจำนวน ดังกล่าวลง ซึ่งส่วนตัวในฐานะอดีต สปช. ที่ศึกษาและทำข้อมูล ข้อเสนอปฏิรูปด้านท้องถิ่น เห็นด้วย แม้การลดจำนวนดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการดูแลชาวบ้าน แต่ในทางตรงข้ามเราต้องส่งเสริมบทบาทภาคประชาชนในพื้นที่ที่มีส่วนร่วมต่อการพัฒนา รวมถึง ตรวจสอบบุคคลที่เข้าไปทำหน้าที่แทนในสภาท้องถิ่น การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเฉพาะ เรื่องลดจำนวน เชื่อว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากจะมีทางที่เกิดความยืดหยุ่นและแก้ไขปัญหา คือ 1.ลดภาระค่าใช้จ่าย ควรใช้ระบบการทำงานแบบ จิตอาสา ที่ไม่มีเงินเดือน แต่ได้รับค่าตอบแทน เช่น เบี้ยประชุม และ 2.ใช้การประเมินผลงาน หรือผลการทำงาน แต่เข้าใจว่าประเด็น ดังกล่าวอาจเป็นปัญหาต่อระบบบริหารจัดการของกระทรวงมหาดไทยที่ควบคุมดูแลได้ยาก หรือมีความยุ่งยาก หากเทียบกับการใช้ระบบบริหารจากส่วนกลาง ผ่านการออกกติกาหรือกฎระเบียบ "หัวใจของการปฏิรูปท้องถิ่น หรือการกระจายอำนาจที่แท้จริง คือให้ประชาชนสามารถพึ่งพิงและจัดการตนเองได้ หากยึดหลักการนี้เชื่อว่าเมื่อคนเกิดการพัฒนาแล้ว ประเทศชาติจะถูกพัฒนาไปพร้อมกัน แต่ยังหากใช้อำนาจจากส่วนกลาง ประชาชนก็จะอ่อนแอ เพราะเขาต้องหวังพึ่งพิงจากรัฐ ทั้งในรูปแบบราชการ หรือการเมือง ซึ่งจะกลายเป็นภาระต่อไปในอนาคต" "ภาวะปัจจุบันพบว่าสภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่นนั้น ไม่ทำงาน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง" |
เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวงงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ฅนเทศบาล
เมนูหลัก
ข่าวท้องถิ่น
ระเบียบบริหารงานบุคคลของพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานการบริหารงานบุคคลพนักงานส่วนท้องถิ่น
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ลดสมาชิก อบต.แลกประหยัดงบ4,700ล้าน ได้หรือเสีย?
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น