รัฐเล็งเพิ่มโทษเชือดโรงแรมเถื่อน แนะใช้กฎหมายควบคุมอาคาร ให้อำนาจสั่งปิดกิจการได้ทันที

รัฐเล็งเพิ่มโทษเชือดโรงแรมเถื่อน แนะใช้กฎหมายควบคุมอาคาร ให้อำนาจสั่งปิดกิจการได้ทันที

ไทยรัฐ (กรอบบ่าย)  ฉบับวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าได้หารือร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ)ให้ยกระดับการดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจโรงแรมเถื่อนให้เข้มงวดมากขึ้น โดยทั้งกระทรวงมหาดไทยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสมาคมโรงแรมไทย มีความเห็นตรงกันที่จะเพิ่มอำนาจของผู้มีบทบาทในการจับกุม ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการจัดระเบียบโรงแรมที่ยังไม่เข้าระบบให้เข้าสู่ระบบได้มากขึ้น           "ในปัจจุบันผู้ทำความผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ขณะที่สมาคมโรงแรมไทยได้หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยให้เพิ่มโทษคือให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000-200,000 บาทและมีค่าปรับต่อวัน 20,000 บาทโดยในการเสนอเพิ่มบทลงโทษยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป"           รมว.การท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่า ได้สั่งการให้กองพัฒนาบริการการท่องเที่ยวกรมการท่องเที่ยวเพิ่มหน้าที่การทำงานในส่วนของการดูแลมาตรฐานของโรงแรมในประเทศไทยทั้งหมด โดยเฉพาะการดูแลตรวจสอบและให้ความรู้กับโรงแรมที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบ-การรายย่อย(เอสเอ็มอี) ที่ทำธุรกิจในรูปแบบครอบครัว ซึ่งอาจไม่ได้ตั้งใจทำผิดกฎหมายให้เข้ามาอยู่ในระบบได้ง่ายขึ้น           ด้านนายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่าได้เสนอให้หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ในการจับกุมแจ้งข้อหาตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารกับโรงแรมที่มาเปิดแบบผิดประเภท เช่นนำห้องพักรายเดือนมาเปิดเป็นห้องเช่ารายวัน นำอาคารพาณิชย์มาทำเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งการแจ้งข้อหาตามกฎหมายนี้จะสามารถทำการปิดกิจการโรงแรมเหล่านั้นได้ ซึ่งจะแก้ปัญหาที่บางโรงแรมทำผิดกฎหมายและยอมที่จะเสียค่าปรับเพราะมองว่าคุ้มค่ากับรายได้           น.ส.ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่า ได้เสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯจัดทำหน่วยงานที่เก็บข้อมูลของโรงแรมและที่พักอาศัย สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหมดโดยไม่แบ่งแยกรูปแบบที่ถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายเพื่อนำผลมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลและทำการตลาด รวมถึงจะเป็นประโยชน์ให้กับภาคเอกชนที่เตรียมลงทุนพัฒนาธุรกิจโรงแรมในอนาคตว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีโรงแรมล้นตลาดหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันโรงแรมต่างๆเริ่มแข่งขันกันเรื่องราคาอย่างหนักตามจำนวนโรงแรมทั้งในและนอกระบบที่มากขึ้น โดยที่ไม่สามารถกำหนดพื้นที่(โซนนิ่ง)หรือควบคุมเรื่องการลงทุนได้เลย.