เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ |
บานเย็น แม่นปืน / รายงาน รู้หรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพฯที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)ต้องแบกรับโดยเฉพาะเรื่องหลัก ๆ คือเรื่องขยะและน้ำเสียประมาณปีละไม่ต่ำกว่า10,000 ล้านบาท ขณะที่งบประมาณรายรับ กทม.ปีล่าสุดอยู่ที่76,000 ล้านบาท ซึ่งความสามารถในการจัดเก็บจากประชาชนหรือจัดเก็บจากต้นทางผู้ก่อให้เกิดขยะได้ไม่ถึงร้อยละ10 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดเนื่องจากค่าขยะจัดเก็บในอัตราที่ถูกมากและค่าน้ำเสียที่ยังไม่เริ่มจัดเก็บเพราะยังไม่สามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมได้ สำหรับการจัดการขยะนั้นล่าสุดมีกฎหมายออกมาซึ่งน่าจะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้พอบรรเทาได้ก็คือ พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2560 ที่ผ่านมา โดยใจความที่สำคัญส่วนหนึ่งคือการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) เก็บค่าธรรมเนียมขยะใหม่ทั่วประเทศ ครัวเรือนไม่เกิน 120 กก. หรือ 600 ลิตร ให้จัดเก็บ 150 บาทต่อเดือนและค่าเก็บขน 200 บาท คือ แต่ละบ้านจะต้องจ่ายในอัตราสูงสุดทั้งค่าเก็บขนและกำจัดไม่เกิน 350 บาทต่อเดือน เพราะหวังจะลดภาระการจัดการที่มีประมาณปีละ 6,000 ล้านบาท ในขณะที่ค่าจัดเก็บเดิมได้เพียงประมาณ 500 ล้านบาทเท่านั้น และคาดหวังว่าจะทำให้ประชาชนที่ไม่ต้องการจ่ายเพิ่มจะลดการสร้างขยะซึ่งจะทำให้ขยะลดลงด้วย ปัจจุบัน กทม.เก็บค่าขยะบ้านเรือนทั่วไปอยู่ที่20 บาทต่อเดือน หลังจากกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้กำหนดว่าจะต้องจ่าย350 บาทต่อเดือน กทม.อาจจะพิจารณาให้การจัดเก็บไม่เกิน150 บาท ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมสภาพทางเศรษฐกิจ แต่การจะขึ้นทีเดียวจาก20 บาทเป็น150 บาทนั้น หากคิดอัตราเดียวกันทุกครัวเรือนก็มีข้อเสียคือ เรื่องความไม่เป็นธรรม เพราะบ้านที่มีขยะน้อยจ่ายเท่า กับบ้านมีขยะมากการใช้อัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวจึงอาจจะทำให้ประชาชนไม่อยากจ่ายและไม่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลดการผลิตขยะด้วย นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รอง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า "จากกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตหนังสือรับ รองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูล ฝอย พ.ศ. 2559 ซึ่งได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ปี 59 ที่ผ่านมา กำหนดให้ 65 บาทและค่ากำจัดมูลฝอย 155 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน อัตรารวมทั้งสิ้น 220 บาทต่อเดือนและต่อมาในวันที่ 15 ม.ค. ปี 60 ก็มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดเรียบร้อยของบ้านเมืองฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 มีค่าธรรมเนียมเก็บขนมูลฝอย 150 บาท และค่ากำจัด 200 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือนรวมทั้งสิ้น 350 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เป็นอัตราต่างกันของกฎหมาย 2 ฉบับ กทม. จึงต้องพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ฉบับให้เหมาะ สมกับสภาพการณ์ปัจจุบันและกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด" แต่ก่อนจะเป็นกังวลว่าการขึ้นค่าขยะที่จะเป็นปัญหามากน้อยแค่ไหนนั้น ความจริงแล้วสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ "ระบบหรือวิธีการจัดเก็บ" ที่จะทำอย่างไรจะทำให้อาคารบ้านเรือนทั้งหมดจ่ายค่าขยะให้กับกทม.ได้หมดทุกบ้าน ซึ่งอาคารบ้านเรือนที่มีในกรุงเทพฯ คือ ประมาณ 2.7 ล้านหลังและเป็นบ้านเรือนประชาชนทั่วไปในสัด ส่วนที่มากที่สุดประมาณ 2 ล้านหลังคาเรือน ที่ผ่านมาบ้านเรือนประมาณ 2 ล้านหลังนั้นไม่สามารถจัดเก็บได้ทั้งหมด หากลองสุ่มถามบ้านเรือนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ถึงการชำระค่าจัดเก็บและขนขยะ คำตอบที่ได้ งจะมีไม่น้อยที่ตอบว่าไม่เคยจ่ายเลย ตามมาด้วยเหตุ 108 ประการ เช่น ไม่เห็นมีคนมาเก็บเลย บ้างก็บอกว่าไม่เคยได้รับใบเสร็จแจ้งให้ไปจ่ายค่าขยะ บ้างก็อ้างว่าเดือน ๆ หนึ่งที่บ้านมีขยะนิดเดียวถังขยะก็ไม่มีให้ทำไมต้องจ่ายหรือเสียภาษีแล้วต้องมาเสียค่าขยะอีก หรือแม้กระทั่งไม่เคยจ่ายเลยก็ไม่เห็นเป็นอะไรไม่มีใครมาบังคับ เป็นต้น ส่วนคนที่จ่ายทุกเดือนตามระเบียบก็ยังมีบางส่วนที่ประสบปัญหาเรื่องการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่จัดเก็บซ้ำซ้อน คือ ที่มีทั้งเก็บรายเดือนและรายปีพร้อมใบเสร็จกับบางเขตที่คนเก็บขยะที่ก็มีข้อต่อรองขอสินน้ำใจไม่มีใบเสร็จ หากบ้านไหนไม่ให้ก็จะไม่ค่อยใส่ใจเก็บให้ปล่อยช่วงเวลาในการเก็บนานขึ้นจนขยะล้น ซึ่งการจะตรวจสอบการจัดเก็บก็ไม่มีระบบติดตามเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การจัดเก็บไม่ประสบความสำเร็จแม้จะเปลี่ยนหรือปรับปรุงกฎหมายไป อย่างไรก็ตาม เพราะว่าครัวเรือนไหนจ่ายค่าขยะหรือยังไม่จ่ายเจ้าหน้าที่ของ กทม. ที่มีแต่ละเขตก็คงไม่เพียงพอต่อการไปเดินเคาะประตูบ้านทุกหลังรวมถึงปัญหาที่ว่าเมื่อไปเคาะแต่ละหลังแล้วก็ไม่มีคนอยู่บ้านรับรองว่าไม่มีทางสำเร็จแน่นอน นอกจากการจ่ายใบเสร็จให้ไปชำระเหมือนค่าบริการอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต เป็นต้น แต่ค่าบริการที่ว่ามาเหล่านี้แตกต่างก็คือหากไม่ชำระรับรองว่ามีผล กระทบต่อการให้บริการที่จะยุติลงทันทีแตกต่างจากค่าจัดการสิ่งแวดล้อมที่หากไม่มีผลกระทบต่อตัวประชาชนชัดเจนก็ยากที่จะบังคับให้ทำตาม กติกา เพราะหากไม่เก็บขยะหน้าบ้านก็สามารถถือไปทิ้งที่อื่นโดยเฉพาะที่สาธารณะ เช่น ข้างถนน ที่รกร้างหรือจุดที่ไม่มีผู้คนอาศัยสร้างมลพิษ มลภาวะ อีกมากโข สำหรับค่าบำบัดน้ำเสียที่มีข้อบัญญัติเก็บค่าธรรมเนียมมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2547 แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถจัดเก็บได้เพราะยังหาวิธีที่จะทำให้ประชาชนยอมจ่ายตามกระบวนการไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใครการลงโทษตัดการให้บริการเหมือนสาธารณูปโภคอื่น ๆ ครั้นจะขอความร่วมมือจากการประปาให้เก็บพ่วงไปกับค่าน้ำก็ถือว่านอกเหนืออำนาจหน้าที่ของการประปาและหากไม่สามารถหาวิธีจัดเก็บอย่างเป็นระบบและบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ ความหวังที่จะประสบความสำเร็จยากมาก การจัดเก็บค่าขยะและค่าบำบัดน้ำเสียเมื่อปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้สมัครใจจ่ายโดยไม่มีภาระผูกพันตามกฎหมายเช่น การปรับการตัดขาดการให้บริการรับรองว่าสำหรับคนไทยแล้วสิ่งที่เรียกว่า "วินัย" หรือ "สามัญสำนึก" น่าจะไม่สามารถทำลายความเห็นแก่ตัวได้ |
เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวงงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ฅนเทศบาล
เมนูหลัก
ข่าวท้องถิ่น
ระเบียบบริหารงานบุคคลของพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งพนักงานส่วนท้องถิ่น
มาตรฐานการบริหารงานบุคคลพนักงานส่วนท้องถิ่น
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560
ก่อนจะดราม่า...ขึ้นค่าเก็บขยะ!ที่ผ่านมาเคยเก็บได้บ้างไหม?
ก่อนจะดราม่า...ขึ้นค่าเก็บขยะ!ที่ผ่านมาเคยเก็บได้บ้างไหม?
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น