“ไม่ออกใบอนุญาต ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ขัดกฎหมาย”
คดีปกครองที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังฉบับนี้
เป็นเรื่องของเจ้าของอาคารได้ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารทดแทนอาคารเดิมที่รื้อถอนไป
แต่เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่อนุญาตเพราะเห็นว่า อาคารที่ขออนุญาตก่อสร้างนั้น มีความยาว
36.8 เมตร จำนวน 9 คูหา ด้านซ้ายใกล้อาคารอื่นในที่ดินเจ้าของเดียวกันเว้นระยะห่าง
4 เมตร ด้านขวามีอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กเดิม (ตึกแถว)
จำนวน 10 คูหา ความยาว 22 เมตร ทำให้ตึกแถวต่อเนื่องกันมากกว่าสิบคูหา และมีความยาวเกิน 40 เมตร ซึ่งขัดกับกฎกระทรวงฉบับที่55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 4 ข้อ 34 วรรคสามและวรรคหก และข้อ 48จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร
ผู้ขออนุญาตดังกล่าวจึงอุทธรณ์คำสั่ง แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกอุทธรณ์
หลังจากนั้นจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองโดยเห็นว่า เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่อาจนำกฎกระทรวงฉบับที่
55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522 มาบังคับใช้ได้ เนื่องจากอาคารที่ขออนุญาตก่อสร้าง
เป็นการสร้างทดแทนอาคารเดิมที่รื้อถอนไป และอาคารเดิมได้ก่อสร้างมาก่อนการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับดังกล่าว การนำกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับย้อนหลัง
เป็นการขัดต่อหลักทั่วไป และกระทบต่อการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารตามนัยมาตรา
1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 นอกจากนี้ ยังเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
เพราะเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้อนุญาตให้ผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารรายอื่นก่อสร้างอาคารได้ทั้งที่มีกรณีคล้ายกับผู้ฟ้องคดี
จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร
คำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีก่อสร้างอาคาร
และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
กฎกระทรวง ฉบับที่
55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ส่วนผู้ฟ้องคดี (ผู้ขออนุญาต)
ได้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น เมื่อวันที่
1 กันยายน 2548 การขออนุญาตก่อสร้างอาคารจึงเกิดขึ้นหลังจากที่กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้
จึงต้องอยู่ในบังคับของกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวด้วย และกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวมิได้กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพของผู้ฟ้
องคดี ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และยังมีผลเป็นการทั่วไปมิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่ผู้ฟ้ องคดีเป็นการเจาะจง
ดังนั้น แม้ว่ากฎกระทรวงฉบับดังกล่าวจะมีลักษณะเป็ นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลแต่เมื่อมีลักษณะเป็นไปตามเงื่อนไขของบทบัญญัติมาตรา
29 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ เมื่ออาคารที่ผู้ฟ้องคดีขออนุญาตก่อสร้างขัดต่อกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีก่อสร้างอาคารและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
(ผู้ถูกฟ้องคดี) ยกอุทธรณ์โดยนำกฎกระทรวง ฉบับที่
55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับจึงชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดยังได้วินิจฉัยกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า
เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อตนเองว่า การจะอ้างว่าได้รับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น
จะต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นกระทำการที่ชอบด้วยกฎหมายแต่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติต่อบุคคลที่เหมือนกันในสาระสำคัญนั้นแตกต่างกัน
เมื่อผู้ฟ้องคดีขออนุญาตก่อสร้างอาคารโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิหรือความชอบธรรมอย่างใดๆ
ที่จะเรียกร้องให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ฟ้ องคดีก่อสร้างอาคารที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายได้
(คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 142/2555)
จากคำพิพากษาข้างต้นจึงเป็นอุทาหรณ์ที่ดีว่า
ในการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของบุคคล
จะต้องนำกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้นมาเป็นฐานในการใช้อำนาจ และการที่บุคคลใดจะอ้าง
หลักความเสมอภาคเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
บุคคลนั้นก็จะต้องมีการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ครับ
!
นายปกครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น