เมื่อวันศุกร์ ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖ ก่อนวันหยุดราชการยาวสามวัน
ผมได้รับเชิญจากเจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคม
สำนักงานเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ว่าทางกองจะจัดประชุมคณะกรรมการชุมชน
ระหว่างวันที่ ๖ - ๗ เมษายน ๒๕๕๖
เพื่อให้ความรู้และร่วมกันจัดทำแผนชุมชนของแต่ละชุมชน
ก่อนนำเสนอเทศบาลเพื่อรวบรวมบรรจุเข้าแผนพัฒนาเทศบาลประจำปี
จึงอยากให้ผมซึ่งเป็นปลัดเทศบาลไปรับฟังการนำเสนอแผนของแต่ละชุมชน ในวันที่
๗ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งในการจัดอบรมและจัดทำแผนชุมชนครั้งนี้
ทางกองได้จัดให้มีขึ้นที่ ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา
(คำว่าฮาลา-บาลานี่ ตอนแรกผมก็งงเหมือนกันระหว่าง ฮาลา-บาลา กับ บาลา-ฮาลา
ว่าใช้คำไหนกันแน่ อะไรขึ้นก่อน อะไรตามหลัง
แต่เมื่อสอบถามอาจารย์กรูเกิ้ล แล้ว จึงสรุปได้ว่า ไม่ผิดทั้งสองคำเพราะว่า
ฮาลา - บาลา เป็นการรวมเอาคำเรียกของป่าสองป่า คือป่า ฮาลา กับป่า บาลา
มาไว้ด้วยกัน
(อาจารย์กรูเกิ้ล ได้ลงประวัติของการประกาศจัดตั้งเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าไว้ดังนี้ครับ
เนื่องจากป่าฮาลาและป่าบาลาในท้องที่ตำบลจะแนะ ตำบลแว้ง ตำบลแม่ดง
ตำบลโละจูด อำเภอแว้ง ตำบลมาโมง ตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส
และตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เนื้อที่ประมาณ 270,725
ไร่มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อนกันเป็นป่าดิบชื้นที่อุดม
สมบูรณ์ เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำหลายสาย
มีสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองที่สำคัญหลายชนิดอาศัยอยู่อย่างชุกชุม
ฉะนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งพันธุ์ของสัตว์ป่าและให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของ
สัตว์ป่าโดยปลอดภัย
รวมทั้งเป็นการช่วยป้องกันรักษาต้นน้ำลำธารและป่าไม้ที่มีอยู่ในพื้นที่แห่ง
นี้ให้คงอยู่ถาวรตลอดไป
สมควรกำหนดบริเวณที่ดินป่าแห่งนี้ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้ม
ครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้กำหนดที่ดินป่าฮาลาและบาลา
ในท้องที่ตำบลจะแนะ อำเภอจะแนะตำบลแว้ง ตำบลแม่ดง ตำบลโละจูด อำเภอแว้ง
ตำบลมาโมง ตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส และตำบลอัยเยอร์เวง
อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. 2539 ประกาศ ณ
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2539)
ว่าเรื่องของเราต่อครับ
เป็นอันว่าผมก็ตอบตกลงว่าจะไปร่วม
โดยทำเป็นเล่นตัวพอเป็นพิธีว่าถ้าถึงเวลาแล้ว
ไม่เจอผมก็ดำเนินการได้เลยไม่ต้องรอ (แบบ ลับ ลวง พราง ทำนองนั้น)
หลังจากนั้นเย็นวันเสาร์ก็โทร.ไปบอกคนขับรถให้มาขับรถในวันอาทิตย์ตอน ๙
โมงเช้า โดยไม่บอกและชวนคนอื่นไปด้วย เมื่อถึงวันเดินทาง
เราก็ออกเดินทางไปกันสองคนกันคนขับรถ ผ่านเทศบาลตำบลแว้ง
เทศบาลตำบลบูเก๊ะตา ขึ้นเขาเข้าสู่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา
มุ่งหน้าสู่ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
จะว่าไปแล้วที่นี่ผมเองก็เคยขึ้นมา ๒ หนแล้ว หนแรก
ขึ้นมาประชุมสันนิบาตเทศบาลจังหวัดนราธิวาส ตามคำเชิญของเทศบาลตำบลแว้ง
ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนั้น และขึ้นมาครั้งที่สอง
ก็ตามคำเชิญของกองสวัสดิการสังคมที่จัดอบรมเยาวชนกลุ่มเสี่ยง
ในเรื่องของยาเสพติด สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ครับ
เมื่อขึ้นไปถึงเจ้าหน้าที่กำลังประชุมกับกรรมการชุมชนอยู่
ก็ยังไม่เข้ไปกวนได้แต่แอบถ่ายรูปเอาไว้ก่อน
ส่วนตัวผมก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นตามประสาของคนชอบถ่ายรูป(แต่ไม่มีฝีมือและไม่
มีกล้องครับ เพราะถ่ายจากมือถือตลอด)
สำหรับบริเวณที่ทำการของสถานีรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ จะมีที่ทำการโครงการสำรวจและรวบรวมพันธ์ไม้ดอกไม้ประดับภาคใต้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ซึ่งทำการศึกษาวิจัยเพื่อ
รวบรวมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับในป่าภาคใต้ มาปลูกรวมไว้ในพื้นที่โครงการฯ
เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมของไม้ดอกไม้ประดับในป่าภาคใต้
และขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น ตั้งอยู่ด้วย
แต่ก็ไม่กล้าเดินไปไกลมาก ไม่ใช่เพราะกลัวหรอกครับ
แต่พื้นที่เป็นพื้นที่ป่าเขา เดินขึ้นๆลงๆ เป็นหลัก กลัวหมดแรงก่อน
บริเวณแห่งนี้จะมีชื่อพันธ์พืชที่มีชื่อเสียงมากคือมีต้นดาหลาขึ้นอยู่มาก
ทั้งขึ้นเองตามธรรมชาติ และนำมาปลูกประดับ โดยเฉพาะดอกดาหลาดอกสีขาว
ซึ่งมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่มีนกเงือกอาศัยอยู่มาก เป็นที่นิยมของบรรดานักดูนกทั้งหลาย จะมาพักเพื่อดูนกเงือกโดยเฉพาะ
สำหรับผมเองยังได้เคยลิ้มลองชาดอกดาหลา ซึ่งทางโครงการสำรวจฯ ได้ทดลองผลิต
เพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืชพันธุ์ของไทยอีกด้วย รดชาดไม่เลวทีเดียว
ประมาณออกเผ็ดนิดๆ แปลกไปอีกแบบครับ นอกจากดาหลาดอกสีขาวแล้ว
ดอกไม้อีกชนิดที่ผมติดใจก็เป็นยี่โถปีนังครับ เคยขอพันธ์ลงไมปลูกที่บ้าน
แต่ต้นไม่ยอมโต เข้าใจว่าดินคงไม่ดีเท่าบนเขา
หลังจากนั้นก็เป็นกระบวนการเข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังแผนพัฒนาชุมชน
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาข้อข้องใจที่สอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะ
กรรมการชุมชนเสียมากกว่า (ส่วนตัวแผนของชุมชนนั้น
ทางคณะกรรมการชุมชนบอกเมื่อทำเป็นเอกสารเสร็จจะนำมามอบให้อีกครั้งหนึ่ง)
ผมเองก็ยังมองปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการชุมชนในเขตเทศบาลมา
โดยตลอด เช่น การรับรองสถานะของคณะกรรมการชุมชน
ในปัจจุบันในเขตเทศบาลต่างๆมีการจัดตั้งชุมชนและคณะกรรมการชุมชนกันอย่าง
แพร่หลาย สถานะของคณะกรรมการชุมชน กฎเกณฑ์กติกา การจัดตั้งชุมชน
สมควรมีระเบียบ กฎหมายออกมารองรับแล้วหรือยัง
เพราะในปัจจุบันในส่วนของเทศบาลเองก็ใช้คณะกรรมการชุมชนเองเป็นองค์กรหลักใน
การดูแลพื้นที่ รัฐบาลเองก็ใช้โดยการพัฒนาตามโครงการต่างๆของรัฐบาล เช่น
โครงการ SML กองทุนชุมชนเมือง ฯลฯ ผมคิดว่าในอนาคต
สตง.อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการชุมชน
เหมือนกับหลายๆกิจกรรมที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดนท้วงติงมาแล้ว ก็ได้
อีกปัญหาหนึ่งที่เรียกร้องกันมานาน ก็คือค่าตอบแทนของคณะกรรมการชุมชน
ได้หรือไม่ได้ มีหรือไม่มี เบิกจ่ายเป็นค่าเบี้ยประชุมได้หรือไม่
อันนี้เราเองก็ต้องยอมรับในประเด็นที่ว่าในโลกปัจจุบัน หลายๆหน่วยงานของรัฐ
ได้ใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงาน
(ผมไม่ใช้คำว่าขับเคลื่อนการพัฒนานะครับ) จนเกิดการเปรียบเทียบ
ทำไมองค์กรนั้นได้เงินค่าตอบแทน องค์กรนั้นมีค่าเบี้ยประชุม
องค์กรนั้นมีค่าน้ำมันรถให้ ทำไมผมไม่มีอะไรเลย งานก็หนัก ทำนองนี้ครับ
เทศบาลสร้างที่ทำการชุมชนให้ได้หรือไม่
ถ้าสร้างแล้วสภาพหรือสถานะของที่ทำการชุมชนจะอยู่อย่างไร
อันนี้ก็เป็นปัญหามาตลอดเหมือนกัน คือชุมชนก็อยากได้ที่ทำการชุมชน
เทศบาลเองก็ไม่กล้าสร้าง เพราะ งบประมาณตั้งได้หรือไม่ (ไม่แน่ใจระเบียบ)
ที่ดินถ้าเป็นที่ดินเอกชน สร้างไปแล้วมีปัญหาหรือไม่ วันดีคืนดี
เจ้าของที่ดินไม่อยากให้ใช้ที่ดินแล้ว เดือดร้อนต้องรื้อต้องย้ายกันอีก
อะไรทำนองนี้ แหมปัญหามันยังเยอะอยู่เลย
ทำไมแผนชุมชนทำกันทุกปี แต่ไม่ค่อยจะได้รับงบประมาณสนับสนุนเลย
ทางชุมชนก็น้อยใจเหมือนกัน
ถามทุกปีก็ได้รับคำตอบว่าอยู่ในแผนพัฒนาของเทศบาลแล้ว
อันนี้คำถามออกแนวน้อยใจปนบ่นเล็กๆ
ก็มันอยู่ในแผนพัฒนาของเทศบาลจริงๆนี่น่า แต่มันไม่อยู่ในงบประมาณอะครับ
เทศบาลมีงบพัฒนาเทศบาลประมาณปีละยี่สิบล้านบาท
แต่แผนที่เสนอมาตัดแล้วตัดอีก จากแปดร้อยล้านเหลือร้อยกว่าล้าน
ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด นะครับ จะไปกู้แบบรัฐบาลสักล้านล้านๆ
ก็คงทำไม่ได้
ถามกันไป ตอบกันไป เครียดบ้าง สนุกสนานกันบ้าง
จนเที่ยงครึ่ง เลยเวลาอาหารไปเยอะ ก็เลยต้องขอจบ
เพื่อให้ทุกท่านได้รับประทานอาหารกลางวันกัน
ก่อนขึ้นรถเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
และต้องขออภัยต่อท่านปลัดเทศบาลตำบลแว้ง และปลัดเทศบาลตำบลบูเก๊ะตา ด้วยนะครับที่ผ่านพื้นที่โดยไม่ขออนุญาต ไม่บอกกล่าว เนื่องจากเกรงใจครับ วันหยุดหลายวันไม่กล้ารบกวน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น