วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตรวจรับงานก่อสร้าง

คดีหมายเลขดำที่  อ. ๖๐๙/๒๕๕๑
คดีหมายเลขแดงที่  อ. ๒๓๓/๒๕๕๓
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลปกครองสูงสุด
วันที่     ๙     เดือน กันยายน  พุทธศักราช ๒๕๕๓

                                 องค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก                          ผู้ฟ้องคดี
ระหว่าง                                           
                                 นายเฉลียว  รางวัลหลาย                                         ผู้ถูกฟ้องคดี
                                               

เรื่อง  คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (อุทธรณ์คำพิพากษา)

     ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๒๔/๒๕๔๘  หมายเลขแดงที่ ๗๔๖/๒๕๕๑ ของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง)
    คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องและเพิ่มเติมคำฟ้องว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยดำเนินการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านชนิดท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ มีความยาว ๑,๗๐๐ เมตร กับผู้ถูกฟ้องคดีตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยผู้ฟ้องคดีตกลงจ่ายและผู้ถูกฟ้องคดีตกลงรับเงินค่าจ้างจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาทiและผู้ถูกฟ้องคดีต้องเริ่มทำงานที่รับจ้างภายในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยต้องทำงานให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗  ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากแจ้งว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการส่งมอบงานจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันเดียวกันคณะกรรมการตรวจการจ้างของผู้ฟ้องคดีได้ตรวจรับมอบงานดังกล่าว จากนั้นได้มีราษฎรบ้านบ่อแร่ร้องเรียนต่อปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากว่าผู้ถูกฟ้องคดีก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านดังกล่าวได้เพียง ๑,๒๒๘ เมตร ยังขาดปริมาณงานอีก ๔๗๒ เมตร หรือคิดเป็นจำนวนท่อประมาณ ๑๑๘ ท่อน ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ผู้ฟ้องคดีจึงต้องว่าจ้างผู้รับเหมารายใหม่ให้มาดำเนินการก่อสร้างส่วนที่ยังขาดอยู่อีก ๔๗๒ เมตร ตามใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ คิดเป็นเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๖๒ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ฟ้องคดีดำเนินการชี้ขาดข้อพิพาทตามสัญญาข้อ ๑๙ พร้อมทั้งมีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๔๘ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายตนเอง ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้แต่งตั้งนายสมมาตร ศรีวชิราพร เป็นอนุญาโตตุลาการ ต่อมาอนุญาโตตุลาการของทั้งสองฝ่ายได้นัดพร้อมกันเพื่อแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนกลางเพื่อตัดสินชี้ขาดคดี ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม แต่เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ประกอบกับคดีต้องใช้ระยะเวลานานและไม่มีสภาพบังคับ ผู้รับมอบอำนาจของทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำบันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๘ โดยไม่ติดใจตั้งอนุญาโตตุลาการคนกลางและสละสิทธิการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการตามสัญญาจ้างข้อ ๑๙ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถบังคับผู้ถูกฟ้องคดีให้ชำระค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีได้จึงฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
    ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า  ผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำสัญญาจ้างโครงการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนจ่ายน้ำประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ในระหว่างที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาจ้าง นายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานได้ตรวจสอบการทำงานตลอดเวลาพร้อมทั้งทำรายงานการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีให้กับผู้ฟ้องคดีทราบเป็นระยะ ปรากฏตามรายงานผลการก่อสร้างประจำสัปดาห์ลงวันที่ ๑๔ วันที่ ๒๑ และวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗  ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ส่งมอบงานต่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก และในวันเดียวกันผู้ฟ้องคดีได้มีคำสั่งแจ้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างทราบ คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับมอบงานพร้อมทั้งประธานคณะกรรมการและคณะกรรมการทุกคนได้ลงนามจนครบถ้วน ปรากฏตามใบตรวจรับพัสดุ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้รายงานถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากให้ทราบว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ทำการตรวจรับมอบงานเป็นการถูกต้องแล้ว เห็นควรเบิกจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไป จากนั้นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินตามสัญญาจ้างให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ ตามใบรับรองของผู้เบิก เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว  ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แจ้งว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นจำนวน ๔๕๐ เมตร ให้ดำเนินการก่อสร้างให้ครบถ้วนภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนี้ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้ชี้แจงว่าในการดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ให้หัวหน้าส่วนโยธาคือนายพิสิฐเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างพร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานทุกครั้ง หากผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่ครบถ้วน เหตุใดจึงได้มีการตรวจรับมอบงาน
และอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีการส่งมอบงานให้กับผู้ฟ้องคดีถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาทุกประการ จึงไม่อาจถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้กระทำผิดสัญญา ภายหลังจากส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว ความรับผิดของผู้ถูกฟ้องคดีมีเพียงอย่างเดียวคือ ความชำรุดบกพร่องของงานเท่านั้น ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีเรียกให้ชำระเงินค่าเสียหายไม่ได้อ้างว่าเกิดจากการชำรุดบกพร่องของงานแต่อย่างใด แต่เป็นการผิดสัญญา  ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบตามฟ้อง อีกทั้งตามหนังสือของผู้ฟ้องคดีลงวันที่๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ อันเป็นเอกสารที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นในคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๒๒/๒๕๔๗ นั้น คณะกรรมการตรวจการจ้างคือนายโอภาส วุฒิไพศาล ไม่ได้ลงลายมือชื่อ แต่ปรากฏว่ามีลายมือชื่อของนายโอภาส ซึ่งน่าจะมีการปลอมลายมือชื่อดังกล่าว ใบตรวจรับพัสดุจึงมีข้อสงสัยว่าได้มีการจัดทำขึ้นมาใหม่ ผู้ฟ้องคดีไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อทำการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ปรากฏเสียก่อนว่าได้มีการกระทำผิดสัญญาจริงหรือไม่ และใครจะต้องเป็นผู้รับผิดในกรณีดังกล่าว ทั้งที่คณะกรรมการตรวจการจ้างบางคนเป็นข้าราชการและประชาชนในหมู่ที่ ๑๑ จึงต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีไม่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว แต่กลับโยนความรับผิดให้กับผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจยืนยันได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำผิดสัญญาจริงหรือไม่ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าได้ทำตามสัญญาครบถ้วนแล้ว คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงลงลายมือชื่อรับรองว่าถูกต้องครบถ้วน
    ผู้ฟ้องคดีคัดค้านคำให้การว่า  จากการตรวจสอบของหัวหน้าส่วนโยธาปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทำผิดสัญญาจ้างคือ ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านไม่แล้วเสร็จตามสัญญาจ้างซึ่งกำหนดความยาว ๑,๗๐๐ เมตร แต่ก่อสร้างเพียง ๑,๒๒๘ เมตร ยังขาดอีก ๔๗๒ เมตร ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าดำเนินการในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เข้าทำงานของผู้ถูกฟ้องคดีให้ลุล่วงไปโดยไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ผู้ฟ้องคดีต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาทผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้รับจ้างมีหน้าที่ต้องทำการก่อสร้างขยายท่อประปาให้ครบถ้วนถูกต้องตามรูปแบบรายการตามสัญญาทุกประการ เมื่อนายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีได้ตรวจพบในภายหลังว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่ครบตามสัญญาที่กำหนด การกระทำดังกล่าวแม้มิใช่ข้อบกพร่องผิดพลาดในการทำงาน แต่เจตนาจงใจประพฤติผิดสัญญาจ้างโดยรู้ว่างานรับเหมาของตนไม่ถูกต้องตามสัญญาและไม่แก้ไข ถึงแม้ว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับมอบงานในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ และเห็นว่าได้ดำเนินการครบถ้วนถูกต้องแล้วเห็นควรเบิกเงินให้ผู้รับจ้างต่อไป แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ตรวจพบในภายหลังว่าไม่ถูกต้องตามสัญญาและมีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีให้แก้ไขงานที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ผู้ถูกฟ้องคดีไม่อาจกล่าวอ้างว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ลงนามรับว่างานดังกล่าวได้ก่อสร้างเสร็จแล้ว จึงไม่ต้องรับผิด อีกทั้ง การยื่นคำให้การของนายสมมาตร ศรีวชิราพร เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีและมีฐานะเป็นอนุญาโตตุลาการของผู้ถูกฟ้องคดี โดยยังไม่ขอถอนตัวจากการเป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบกับนายสมมาตรในฐานะผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีก็ยังไม่ได้ถูกเพิกถอนสถานะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว การยื่นคำให้การของนายสมมาตรจึงขัดต่อพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ คำให้การดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้
    ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ประสงค์ทำคำให้การเพิ่มเติม
    ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีทำสัญญาเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีให้ดำเนินการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชนิดท่อ PVC ขนาด Øi๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ตามรายการละเอียดแบบแปลนของส่วนโยธา ค่าจ้าง ๘๘,๐๘๐ บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการตามสัญญาตามลำดับโดยมีหัวหน้าส่วนโยธาในฐานะผู้ควบคุมงานได้จดบันทึกการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นรายวัน จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ หัวหน้าส่วนโยธาได้มีบันทึกเสนอผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีผลการทำงานได้ร้อยละ ๑๐๐ ให้แจ้งคณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับมอบงานต่อไป ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ถึงผู้ฟ้องคดีว่าได้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ เรียบร้อยแล้วให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปดำเนินการตรวจรับ โดยผู้ฟ้องคดีมีคำสั่งในวันเดียวกันให้แจ้งคณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับ คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ดำเนินการตรวจรับพร้อมออกใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับงานจ้างแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ถูกต้องครบถ้วน เห็นควรจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไป ผู้ฟ้องคดีมีคำอนุมัติในวันเดียวกันให้จ่ายเงินให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากออกใบรับรองของผู้เบิก เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าการเบิกเงินหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ได้ดำเนินไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๔ ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายและระเบียบทุกประการ คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับมอบทรัพย์สินอย่างถูกต้องตามรายการและกำหนดเวลาในสัญญาแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ก่อนวันสิ้นสุดสัญญาในวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗  กรณีจึงเห็นว่า การดำเนินการจัดหาพัสดุของผู้ฟ้องคดีได้เป็นไปตามที่กำหนดในระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ แล้วทุกประการ แม้ตามพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ได้ตรวจรับมอบงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีส่งมอบและได้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีจนเสร็จสิ้นแล้ว ย่อมสันนิษฐานได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานครบถ้วนแล้วก็ตาม
แต่เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น เมื่อปรากฏจากการตรวจสอบพื้นที่จริงเห็นได้ว่าปริมาณงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีทำมีระยะขาดหายไป ๔๗๒ เมตร จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญา แต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับมอบงาน โดยเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติงานครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีได้มีการแต่งตั้งผู้ควบคุมงานเพื่อควบคุมการปฏิบัติงานตามสัญญา และคณะกรรมการตรวจการจ้างเพื่อตรวจสอบงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีส่งมอบว่าเสร็จเรียบร้อยตามสัญญาหรือไม่ ถ้าหากผู้ฟ้องคดี ผู้ควบคุมงาน และคณะกรรมการตรวจการจ้างของผู้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความใส่ใจตามปกติ ย่อมทราบได้ในขณะตรวจรับมอบงานว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานยังไม่เสร็จเรียบร้อยตามสัญญา กรณีต้องถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดีเอง  ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างความสำคัญผิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวมาเป็นประโยชน์ได้ตามมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และต้องถือว่าผู้ฟ้องคดียอมรับการชำระหนี้ของผู้ถูกฟ้องคดีในการก่อสร้างขยายท่อเมนประปาเพียง ๑,๒๒๘ เมตรแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญา จึงต้องถือว่าหนี้ตามสัญญาระงับไปแล้วตามมาตรา ๓๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจเรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท ได้
    ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
    ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า  สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน ระหว่างผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้ว่าจ้าง และผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้รับจ้าง คือสัญญาที่ผู้ถูกฟ้องคดีตกลงจะดำเนินการก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านชนิดท่อ PVCขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ มีความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ให้แก่ผู้ฟ้องคดีจนแล้วเสร็จ หากผู้ถูกฟ้องคดีทำงานจนสำเร็จ ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้รับค่าจ้าง ๘๘,๐๘๐ บาท  ดังนั้น สัญญาจ้างดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดว่า อันสินจ้างหรือค่าจ้างที่ผู้รับจ้างจะพึงได้รับย่อมขึ้นอยู่กับผลสำเร็จแห่งการที่ทำเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญาหากผู้รับจ้างทำการงานไปได้เพียงใดผู้ว่าจ้างก็ควรต้องให้สินจ้างหรือค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างตามสัดส่วนของงานเพียงนั้น โดยในส่วนของมาตรา ๓๒๑ และมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งไม่อาจยกขึ้นปรับกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ โดยตามมาตรา ๓๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตกลงกันให้ลูกหนี้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ด้วยวิธีการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ ต่อมาหากเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
การยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นนั้น ย่อมทำให้หนี้เดิมระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ระงับไปด้วย เหตุผลที่ว่าหากหนี้เดิมไม่ระงับจะมีผลให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้สองครั้ง แต่ในคดีนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโดยมีระยะทางขาดหายไป ๔๗๒ เมตร โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีชำระหนี้อย่างอื่นแทนงานที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ หนี้ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีต้องชำระต่อผู้ฟ้องคดีคืองานในส่วนของระยะที่ขาดหายไป ๔๗๒ เมตร ย่อมไม่ระงับ ในส่วนของมาตรา ๑๕๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันต้องพิจารณาประกอบกับมาตรา ๑๕๖ และมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น เป็นกรณีความเป็นโมฆะและโมฆียะของสัญญาซึ่งคู่สัญญาได้แสดงเจตนาไปแล้ว คู่สัญญาที่สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมอันมีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆะก็ดี หรือสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินอันมีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆียะก็ดี ย่อมไม่อาจยกเอาข้ออ้างดังกล่าวขึ้นยันคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้
หากความสำคัญผิดดังกล่าวเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน แต่ในคดีนี้ไม่มีประเด็นว่าสัญญาจ้างระหว่างผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีเป็นโมฆะหรือโมฆียะหรือไม่  ดังนั้น บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๘ ประกอบมาตรา ๑๕๖ และมาตรา ๑๕๗ จึงไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีได้ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นแล้วว่า ปริมาณงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานมีระยะขาดหายไป ๔๗๒ เมตร และผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ตามสัญญาแล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีในส่วนของงานที่ยังไม่ได้ทำ เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีจนทำให้ต้องว่าจ้างผู้รับเหมารายใหม่ให้มาดำเนินการและต้องเสียค่าจ้างไป ๒๒,๖๐๐ บาท (ที่ถูกคือ๒๒,๖๖๐ บาท) ซึ่งจำนวนค่าจ้างดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้เป็นประเด็นแห่งคดีไว้ว่าไม่ถูกต้องหรือสูงเกินไป ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว ประกอบกับหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีตามมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาและมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินจำนวน ๒๒,๖๐๐ บาท (ที่ถูกคือ ๒๒,๖๖๐ บาท) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
        ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ประสงค์จะทำคำแก้อุทธรณ์

     ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดี โดยได้รับฟังสรุปข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสำนวน และคำชี้แจงด้วยวาจาประกอบคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
    ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาเอกสารทั้งหมดในสำนวนคดี กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว
    ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีให้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ชนิดท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ตามแบบแปลนส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดี โดยมีค่าจ้างตามสัญญาจำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท เริ่มงานในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ แล้วเสร็จภายในวันที่๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้างจำนวน ๕ คน ประกอบด้วย (๑) นายโอภาส วุฒิไพศาล (๒) นายโสภณ สุขเสมอ (๓) นายบาง ลายภูษา (๔) นายจำรัส ธรรมศร และ (๕) นายปรีชา ประสงค์ธรรม และมีนายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการก่อสร้างจนถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ จึงได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีว่าได้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงานดังกล่าวด้วย หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ เสนอผู้ฟ้องคดีว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำงานได้ผลงานครบถ้วนแล้วขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงาน คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงได้ออกใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าได้ตรวจรับมอบงานแล้วเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนและควรจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไปผู้ฟ้องคดีได้อนุมัติตามเสนอ และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้ออกใบรับรองการเบิกเงินหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ จำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงได้อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าวซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินไปแล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ต่อมา เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากว่า เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ ได้ไปตรวจสอบอีกครั้งพบว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานขาดไป ๔๗๒ เมตร เท่ากับจำนวนท่อประมาณ ๑๑๘ ท่อน เป็นเงิน ๒๗,๙๖๐ บาท จึงได้ติดต่อผู้ถูกฟ้องคดีพร้อมคณะกรรมการตรวจการจ้างให้มาตรวจสอบร่วมกันอีกครั้งในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๕ เวลา ๑๐ นาฬิกา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มาตามนัดและได้ให้นายนคร ฟักทอง มาแทนปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก พิจารณาแล้วมีความเห็นเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๑๕๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จำนวน ๔ คน ประกอบด้วย (๑) นายโสภณ สุขเสมอ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาก เป็นประธานกรรมการ (๒) นายบุญช่วย ประทีปแก้ว รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากเป็นกรรมการ (๓) นายชาติชาย มุสิกชาติ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากเป็นกรรมการ และ (๔) นายพิสิฐ โกประวัติ หัวหน้าส่วนโยธา เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโดยขาดอยู่อีกจำนวน ๔๗๒ เมตร เป็นเงิน ๒๗,๙๖๐ บาท เห็นควรแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าดำเนินการให้แล้วเสร็จ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีให้เข้าดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังทำไม่ครบตามสัญญา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เข้าดำเนินการแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๒๐๔/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดหาพัสดุเพื่อจัดจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ (เพิ่มเติม) เป็นเงิน ๒๒,๗๐๐ บาท โดยวิธีตกลงราคา ต่อมา เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีมีใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างนายชัชวาลย์ แผ่นผา ให้ดำเนินการขยายท่อเมนประปาหมู่บ้านดังกล่าวต่อจากผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเงินค่าจ้าง ๒๒,๖๖๐ บาท ซึ่งนายชัชวาลย์ได้ส่งมอบงานจ้างเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีจึงได้สั่งอนุมัติให้จ่ายค่าจ้าง และนายชัชวาลย์ได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗
    คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำอุทธรณ์ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องคืนเงิน เนื่องจากทำงานไม่ครบถ้วนตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๔๗รลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ เป็นจำนวนเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่
    พิเคราะห์แล้วเห็นว่า  ตามข้อ ๔๘ (๔) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ กำหนดว่า เมื่อคณะกรรมการตรวจการจ้างงานตรวจแล้วเห็นว่าเป็นการถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้วให้ถือว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่ผู้รับจ้างส่งมอบงานจ้าง และมาตรา ๓๖๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า ในสัญญาต่างตอบแทนนั้นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ห้ามมิให้ใช้บังคับกับหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด และมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่าอันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
    ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีให้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ บ้านบ่อแร่ ชนิดท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ นิ้ว ชั้นคุณภาพ ๘.๕ พร้อมข้อต่อชนิดต่าง ๆ ความยาว ๑,๗๐๐ เมตร ตามแบบแปลนส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดี โดยค่าจ้างตามสัญญาเป็นจำนวนเงิน ๘๘,๐๘๐ บาท เริ่มงานในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ แล้วเสร็จภายในวันที่๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการก่อสร้างจนถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ จึงได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีว่าได้ก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงานดังกล่าวด้วย หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ เสนอผู้ฟ้องคดีว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำงานได้ผลงานครบถ้วนแล้วขอให้คณะกรรมการตรวจการจ้างไปตรวจรับงาน คณะกรรมการตรวจการจ้างจึงได้ออกใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ ว่าได้ตรวจรับมอบงานแล้วเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนและควรจ่ายเงินให้ผู้ถูกฟ้องคดีต่อไป ผู้ฟ้องคดีได้อนุมัติตามเสนอ และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากได้ออกใบรับรองการเบิกเงินหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เลขที่ ๓๗๓/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ จำนวน ๘๘,๐๘๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงได้อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีได้รับเงินไปแล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗  ต่อมา เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ หัวหน้าส่วนโยธาของผู้ฟ้องคดีมีบันทึกถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากว่า เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ ได้ไปตรวจสอบอีกครั้งพบว่าผู้ถูกฟ้องคดีทำงานขาดไป ๔๗๒ เมตร เท่ากับจำนวนท่อประมาณ ๑๑๘ ท่อน เป็นเงิน ๒๗,๙๖๐ บาท จึงได้ติดต่อผู้ถูกฟ้องคดีพร้อมคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ให้มาตรวจสอบร่วมกันอีกครั้งในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ เวลา ๑๐ นาฬิกา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มาตามนัดและได้ให้นายนคร ฟักทอง มาแทน ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนากพิจารณาแล้วมีความเห็นเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๑๕๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาโดยขาดอยู่อีกจำนวน ๔๗๒ เมตร เห็นควรแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าดำเนินการให้แล้วเสร็จ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือ ที่ อย ๘๓๕๐๑/๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๗แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีให้เข้าดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังทำไม่ครบตามสัญญา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เข้าดำเนินการแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๒๐๔/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดหาพัสดุเพื่อจัดจ้างเหมาก่อสร้างขยายเขตท่อเมนประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๑ (เพิ่มเติม) เป็นเงิน ๒๒,๗๐๐ บาท โดยวิธีตกลงราคา  ต่อมา เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีมีใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ว่าจ้างนายชัชวาลย์ แผ่นผา ให้ดำเนินการขยายท่อเมนประปาหมู่บ้านดังกล่าวต่อจากผู้ถูกฟ้องคดี เป็นเงินค่าจ้าง ๒๒,๖๖๐ บาท ซึ่งนายชัชวาลย์ได้ส่งมอบงานจ้างเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีจึงได้สั่งอนุมัติให้จ่ายค่าจ้าง และนายชัชวาลย์ได้รับเงินค่าจ้างจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗
    พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายและข้อเท็จจริงที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม้จะปรากฏตามใบตรวจรับพัสดุของคณะกรรมการตรวจการจ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาครบถ้วนแล้ว และมีการตรวจรับงานในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามบันทึกของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งของผู้ฟ้องคดีที่ ๑๕๙/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ว่าผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาไม่แล้วเสร็จตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ เป็นระยะทาง ๔๗๒ เมตร กรณีจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างไม่ดำเนินการตรวจรับงานให้ถูกต้องครบถ้วนหรือเป็นไปตามที่สัญญากำหนด กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ส่งมอบงานครบถ้วนตามข้อ ๔๘ (๔) แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ ประกอบกับสัญญาจ้างก่อสร้างท่อเมนประปาระยะทาง ๑,๗๐๐ เมตร มีค่าจ้างเป็นจำนวนเงิน ๘๘,๐๘๐ บาท อันจะเห็นได้ว่าลักษณะของสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา ๕๘๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามสัญญา โดยผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่จะชำระค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนอันเป็นค่าจ้างตามสัญญาดังกล่าว แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาเพียง ๑,๒๒๘ เมตร ทั้งที่สัญญาได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาเป็นระยะทาง ๑,๗๐๐ เมตร กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว อันจะมีผลต่อการที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้รับค่าจ้างจากการปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว และเหตุดังกล่าวทำให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิจะเรียกเงินค่าจ้างในส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่ได้ดำเนินการตามสัญญาให้แล้วเสร็จคืนจากผู้ถูกฟ้องคดีได้และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีต้องดำเนินการจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เพื่อให้ดำเนินการตามโครงการก่อสร้างท่อเมนประปาที่เหลือระยะทาง ๔๗๒ เมตร ให้ครบถ้วน ตามใบสั่งจ้างเลขที่ ๘๑/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ และผู้รับจ้างดังกล่าวได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว โดยส่งมอบงานในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๗ คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับงานแล้ว ตามใบตรวจรับพัสดุคิดเป็นเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท  ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินอันเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างท่อเมนประปาไม่ครบถ้วนเป็นระยะทาง ๔๗๒ เมตร คิดเป็นเงิน ๒๒,๖๖๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่า ผู้ฟ้องคดี ผู้ควบคุมงาน และคณะกรรมการตรวจการจ้างของผู้ฟ้องคดีประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างความสำคัญผิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังกล่าวมาเป็นประโยชน์นั้น  เห็นว่า กรณีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดี ผู้ควบคุมงาน และคณะกรรมการตรวจการจ้างที่ควรได้รับการตรวจสอบปรับปรุงและแก้ไขการดำเนินงานจากหน่วยงานที่ควบคุมหรือกำกับดูแลและควรรับผิดอย่างใดอย่างหนึ่งจากการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น ต้องแยกส่วนจากความรับผิดอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างให้ครบถ้วนของผู้ถูกฟ้องคดีที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อผู้ฟ้องคดี โดยหาใช่เป็นกรณีที่จะกล่าวอ้างเพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีพ้นจากความรับผิดตามสัญญานี้ไปได้ ที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย
    พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้เงินจำนวน ๒๒,๖๖๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด รวมทั้งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลตามส่วนแห่งการชนะคดี
                       
นายหัสวุฒิ  วิฑิตวิริยกุล                                                     ตุลาการเจ้าของสำนวน
ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด

นายไพบูลย์  เสียงก้อง
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายสุเมธ  รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายสุชาติ  มงคลเลิศลพ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายพรชัย  มนัสศิริเพ็ญ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด                                                     

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ

ย่อคำพิพากษา

             ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดี (เทศบาลตำบลศรีพนา) ได้มีคำสั่งที่ 311/2548 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2548 ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิด ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอเพิกถอน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลศรีพนา ได้ทำสัญญาซื้อที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 2123 จำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 83 ตารางวา จากนาย ป. ในราคา 1,365,000 บาท ซึ่งการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวเป็นการจัดซื้อเฉพาะแห่ง และจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ซึ่งตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 ข้อ 21 กำหนดว่า ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้าง ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงาน เสนอต่อผู้สั่งซื้อตามรายการดังต่อไปนี้ ... (2) รายละเอียดของที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ (3) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น (4) ราคาซื้อขายของที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลัง สุดประมาณ 3 ราย ... และข้อ 50 กำหนดว่า การซื้อโดยวิธีพิเศษ ให้หัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นแต่งตั้งคณะ กรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้ ... (6) ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง ให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการ เห็นสมควรให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น ในการจัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว จำต้องปฏิบัติตามระเบียบข้างต้น แต่จากข้อเท็จจริงตามรายงานตรวจสอบสืบสวน ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 6 และรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ ของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ปรากฏข้อเท็จจริงสอดคล้องกันว่า คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษไม่ได้นำข้อมูลราคาประเมินที่ดินและ ราคาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อที่ดินครั้งหลังสุดจำนวน 3 ราย ที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา ประกอบการพิจารณาว่า สมควร ที่จะซื้อที่ดินแปลงนั้นตามราคาที่เสนอหรือไม่ อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 2123 เป็นที่ดินที่แบ่งแยกจากที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 99 ซึ่งเคยอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี แต่ได้ขายให้แก่นาย ป. โดยตามคำให้การของนาย ป. ที่ได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 6 ความว่า หลักฐานสัญญาซื้อขายใบต่อรองราคาระหว่างตนกับผู้ถูกฟ้องคดีเป็นลายมือชื่อ ของตนจริง สำหรับหลักฐานการซื้อขาย ระหว่างตนกับผู้ฟ้องคดี ตนไม่ทราบรายละเอียด เพียงแต่ลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ และตนก็ไม่ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากผู้ฟ้องคดี และไม่ได้จ่ายเงินจำนวน 220,000 บาท ให้กับผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด กรณีจึงน่าเชื่อว่า การซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวไม่มีการต่อรองราคา และเมื่อพิจารณาพฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีแล้ว น่าเชื่อว่า การที่ผู้ฟ้องคดีขายที่ดินให้แก่นาย ป. เป็นการทำนิติกรรมอำพรางโดยผู้ฟ้องคดีมีเจตนาหลีกเลี่ยงการมีส่วนได้เสียใน สัญญากับ ผู้ถูกฟ้องคดี ตามมาตรา 18 ทวิ แห่ง พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496 จากข้อเท็จจริงข้างต้นจึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีจงใจซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสวนสุขภาพ โดยไม่ดำเนินการตามข้อ 21 (2) (3) (4) และข้อ 50 (6) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 เมื่อการกระทำดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ทางราชการด้วย ทั้งนี้ ตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิด ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้กำหนดความเสียหาย ที่เกิดขึ้นโดยคำนวณจากส่วนต่างของราคาที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีจัดซื้อจากนาย ป. กับราคาประเมินที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา โดยให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดเต็มจำนวน คิดเป็นเงิน 1,148,400 บาท และผู้ถูกฟ้องคดีได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดซื้อที่ดินที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายใน กรณีเดียวกันนั้น โดยกำหนดระดับความรับผิดแตกต่างกันไปตามระดับแห่งความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดียังได้ระบุไว้ในคำสั่งว่า หากผู้ถูกฟ้องคดีได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดี เมื่อนำมารวมกับจำนวนเงินของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดซื้อ ที่ดินดังกล่าวแล้วเกินจำนวนความเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีจะคืนเงินที่ได้รับชำระไว้เกินให้แก่เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องตามสัดส่วนแห่งความรับผิดและที่ได้ชำระไว้ของแต่ละคน จึงเป็นกรณีที่ ผู้ถูกฟ้องคดีได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 แล้ว ดังนั้น คำสั่งผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 311/2548 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2548 ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการเป็นเงินจำนวน 1,148,400 บาท จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาฉบับเต็ม


(ต. ๒๒)
 
คำพิพากษา
(อุทธรณ์)
 
                                            คดีหมายเลขดำที่  อ. ๖๒๐/๒๕๕๐

                                                                                         คดีหมายเลขแดงที่    อ. ๑๐/๒๕๕๔

                                       ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

 ศาลปกครองสูงสุด

วันที่     ๑๗    เดือน มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๕๔

                      นางเกตุแก้ว  ศิริบุญนภา                        ผู้ฟ้องคดี
ระหว่าง 
                      เทศบาลตำบลศรีพนา                             ผู้ถูกฟ้องคดี
 
เรื่อง   คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย (อุทธรณ์คำพิพากษา)

                    ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๓/๒๕๔๙
หมายเลขแดงที่ ๒๑๑
/๒๕๕๐ ของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองขอนแก่น)

        คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๘ แจ้งคำสั่งผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๓๑๑/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่สั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดตามความเห็นของกรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลัง โดยกล่าวหาว่า ขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลศรีพนาได้จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานที่พักผ่อน ไม่มีความโปร่งใส ราคาซื้อสูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากก่อนที่จะมีการซื้อขายระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีกับนายประทีป สุลีสถิระ เพียง ๖ วัน ที่ดินดังกล่าวเดิมผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของและได้โอนขายให้นายประทีปในราคา ๒๒๐,๐๐๐ บาท แล้วขายให้ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเงิน ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท ซึ่งแพงกว่าราคาประเมินของกรมที่ดิน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท พฤติการณ์ถือว่าอาศัยโอกาสในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ถึงแม้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีมาแต่เดิม แต่ผู้ฟ้องคดีได้ขายให้กับนายประทีปทั้งแปลงเนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา ในราคา ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยทำสัญญาจะซื้อจะขายกันเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ และได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้งหมดให้นายประทีปในวันทำสัญญา มิได้ซื้อขายกันเป็นเงินสด เพราะนายประทีปเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องและทำงานกับนายเซีย ศิริบุญนภา สามีของผู้ฟ้องคดี โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน หักจากเงินเดือนที่จะได้รับจากนายเซีย  ต่อมานายประทีปได้ถมที่ดินดังกล่าวให้สูงกว่าเดิม ๒ เมตร ค่าถมที่ไร่ละประมาณ ๒ แสนกว่าบาท ที่ดินจึงมีราคาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม และเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๓ นายประทีปได้นำเงินที่ค้างชำระตามสัญญาจะซื้อจะขายมาชำระค่าที่ดินบางส่วนให้กับผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงแบ่งแยกที่ดินที่พิพาทให้เป็นชื่อนายประทีป หลังจากนั้นนายประทีปได้ขายที่ดินดังกล่าวให้กับผู้ถูกฟ้องคดีจำนวน ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา เป็นเงิน ๑,๓๖๔,๙๐๐ บาท (ที่ถูก คือ ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท) นายประทีปไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ฟ้องคดีตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด  นอกจากนี้ ที่ดินบริเวณดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำเป็นถนนเพื่อเป็นทางเข้าสำนักงานเทศบาล และทางเข้าสวนสุขภาพของเทศบาล ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างสวนสุขภาพและต้องใช้ถนนที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อจากผู้ฟ้องคดี การซื้อที่ดินเป็นการซื้อเฉพาะเจาะจงว่าที่ดินแปลงไหน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ตั้งที่ดิน จึงไม่นำราคาข้างเคียงมาเปรียบเทียบกับที่ดินที่ต้องการซื้อ และเป็นการซื้อขายกันตามราคาที่เป็นจริงในท้องตลาด ซึ่งที่ดินบริเวณใกล้เคียงกันซื้อขายกันจริงตามราคาท้องตลาดถึงไร่ละหนึ่งล้านบาท ไม่ใช่ตามราคาประเมินของเจ้าหน้าที่ที่ดิน ซึ่งราคาประเมินของกรมที่ดินมีไว้เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเท่านั้น คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ
เห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสมเพราะเป็นที่ดินที่มีการถมแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมที่ดินอีก ผู้ถูกฟ้องคดีได้ควบคุมกำกับการซื้อขายที่ดินพิพาทให้เป็นไปตามระเบียบและเกิดประโยชน์กับทางราชการแล้ว ไม่ได้มีเจตนาทุจริตแต่ประการใด แต่หากจะพิจารณาว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการละเมิดต้องรับผิด ค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้นั้นเป็นจำนวนที่มากเกินความเป็นจริง อีกทั้งคณะกรรมการต้องรับผิดเท่ากัน หาใช่แบ่งความรับผิดตามอัตราส่วน ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งยกอุทธรณ์ โดยแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีทราบ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๙
        ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี หากผู้ฟ้องคดีจะต้องรับผิดขอให้ศาลลดจำนวนเงินที่ผู้ฟ้องคดีจะต้องชดใช้ลงมาอีก และให้คณะกรรมการมีส่วนรับผิดเท่าๆ กัน
        ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ จังหวัดอุดรธานี ได้แจ้งรายงานการตรวจสอบสืบสวนตามหนังสือร้องเรียน ฉบับวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๔ ผลการตรวจสอบ ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีในขณะนั้นเป็นผู้อนุมัติในการจัดซื้อที่ดิน เนื้อที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา มีราคาแพงกว่าความเป็นจริงเป็นเงิน ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ต่อมาคณะกรรมการดังกล่าวได้เสนอรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ฉบับลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๘ ต่อนายกเทศมนตรี สรุปว่า จากพยานหลักฐาน ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสวนสุขภาพ ปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวใช้ก่อสร้างถนน ค.ส.ล. เชื่อมระหว่างพื้นที่ที่ตั้งสำนักงานเทศบาลกับทางหลวง เป็นที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๒๓ เนื้อที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา แบ่งแยกจากที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๙๙ เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา ซึ่งมีชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดิน ต่อมาวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ผู้ฟ้องคดีได้ขายที่ดินแปลงแยกเลขที่ ๒๑๒๓ ให้กับนายประทีป ในราคา ๒๒๐,๐๐๐ บาท โดยได้รับความยินยอมจากธนาคารให้ยังคงติดจำนองเช่นเดิม ในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ นายประทีป ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับผู้ถูกฟ้องคดีโดยธนาคารยินยอมให้ขายโดยปลอดจำนองในราคา ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าที่ผู้ฟ้องคดีขายให้นายประทีปถึง ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท โดยช่วงเวลาที่มีการซื้อขายสองครั้งมีระยะห่างกันเพียง ๖ วัน ซึ่งผู้ฟ้องคดีทราบอยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขายที่ดินให้นายประทีปในราคาเพียง ๒๒๐,๐๐๐ บาท ในการพิจารณาอนุมัติหากผู้ฟ้องคดีจะรักษาผลประโยชน์ของผู้ถูกฟ้องคดี ก็น่าจะสั่งการให้คณะกรรมการกลับไปต่อรองราคาใหม่ โดยนำราคาประเมินที่ดินของสำนักงานที่ดินมาเป็นข้อมูลในการต่อรองราคา แต่จากการสอบพยานบุคคล ฟังได้ว่า คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษไม่ได้ติดต่อและต่อรองกับนายประทีป เจ้าของที่ดินโดยตรง แต่ได้ติดต่อกับนายเซีย สามีของผู้ฟ้องคดี และนายเซียเป็นผู้กำหนดราคาที่ดิน นายประทีปเพียงแต่ลงลายมือชื่อในเอกสารเท่านั้น และคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินไม่รอข้อมูลที่สอบถามจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา เกี่ยวกับราคาประเมินและราคาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงมาประกอบการพิจารณาต่อรองราคา โดยอ้างว่าเป็นการจัดซื้อเฉพาะที่ ซึ่งต่อมาภายหลังสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา ได้แจ้งว่าที่ดินแปลงนี้มีราคาประเมินเพียง ๒๑๖,๖๐๐ บาท หรือไร่ละ ๘๐,๐๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท อีกทั้งราคาซื้อขายที่ดินบริเวณใกล้เคียงแปลงติดกันที่มีการซื้อขายเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๒ ระหว่างสุขาภิบาลศรีพนา กับ นายสนุก ไชยสุวรรณ เนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๓ งาน ๗๙ ตารางวา ราคา ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท หรือไร่ละ ๗๙,๑๖๔ บาท คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ จึงเห็นว่าการจัดซื้อที่ดินแปลงพิพาทไม่เป็นไปตามข้อ ๒๑ (๒) (๓) (๔) และข้อ ๕๐ (๖) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ทำให้เทศบาลเสียหายต้องซื้อที่ดินแพงและมีราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น เป็นเงิน ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท เห็นว่าผู้ฟ้องคดีในตำแหน่งนายกเทศมนตรีและในฐานะผู้อนุมัติจัดซื้อ และนายวิฑูรย์ ผันผ่อน ตำแหน่งปลัดเทศบาล ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดซื้อและในฐานะผู้ควบคุมกำกับให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดซื้อ มีความจงใจที่จะเสนอให้มีการจัดซื้อที่ดินพิพาทในราคาสูงกว่าความเป็นจริง ให้แต่ละคนรับผิดชอบกึ่งหนึ่งของจำนวนเงิน ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท กล่าวคือ คนละ ๕๗๒,๕๐๐ บาท นายกเทศมนตรีตำบลศรีพนาพิจารณารายงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่แล้วเห็นชอบและได้รายงานกระทรวงการคลังพิจารณา ต่อมากรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังแจ้งผลการพิจารณาที่มีความเห็นแตกต่างจากคณะกรรมการ และผู้ถูกฟ้องคดีมีความเห็นชอบตามแนวการวินิจฉัยของกรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังว่า มีหลักฐานน่าเชื่อว่าการซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับนายประทีป เป็นการทำนิติกรรมอำพราง เพราะก่อนที่จะทำการซื้อขายระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีกับนายประทีป เพียง ๖ วัน ผู้ฟ้องคดียังเป็นเจ้าของผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีลงนามอนุมัติจัดซื้อโดยทราบอยู่แล้วว่าที่ดินแปลงดังกล่าว ราคาประเมิน ๒๑๖,๖๐๐ บาท และไม่นำราคาประเมินซึ่งต่ำกว่าราคาขายมาต่อรองหรือเป็นข้อมูลในการพิจารณาอนุมัติ ตามที่วิญญูชนพึงกระทำ  ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีคำสั่งและพิจารณาอุทธรณ์ตามแนวทางของกฎหมายและระเบียบของทางราชการแล้ว
        ผู้ฟ้องคดีคัดค้านคำให้การว่า ผู้ฟ้องคดีขายที่ดินแก่นายประทีปตามความเป็นจริง มิได้เป็นนิติกรรมอำพราง และตามสำนวนการสอบสวนของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ ผู้ฟ้องคดีได้สอบถามนายเซีย และนายประทีปแล้ว ได้ความว่าไม่เคยให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ ว่าการซื้อขายดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพราง แต่เป็นการซื้อขายกันจริง นอกจากนี้การซื้อที่ดินพิพาทเป็นการซื้อขายที่ดินเฉพาะที่ เลือกซื้อที่อื่นไม่ได้ หากจะซื้อที่ดินแปลงอื่น จะต้องใช้เงินจำนวนมากในการถมดิน คณะกรรมการจึงได้มีมติให้ซื้อที่ดินดังกล่าวและราคาที่จัดซื้อเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว ทั้งนี้ หากมีความเสียหายตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้างจริง ค่าเสียหายก็คงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และผู้ฟ้องคดีไม่ควรต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว คณะกรรมการที่อนุมัติจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ต้องร่วมรับผิดเป็นจำนวนเท่าๆ กันด้วย
        ผู้ถูกฟ้องคดีให้การเพิ่มเติมว่า ประเด็นที่ว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับนายประทีป เป็นการซื้อขายกันจริงหรือเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีได้พิจารณาจากพยานเอกสาร จากรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงทั้งของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่และของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ โดยเฉพาะบันทึกการสอบปากคำนายเซีย และนายประทีป ซึ่งนายประทีป ยืนยันคำให้การกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เช่นเดียวกับที่เคยให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ จากพฤติกรรมการซื้อขาย การรับเงิน การทำนิติกรรมสัญญา น่าเชื่อว่าจะเป็นการดำเนินการของนายเซียและผู้ฟ้องคดีเองทั้งหมด ส่วนนายประทีปกระทำนิติกรรมแต่เพียงในนามเท่านั้น ประกอบกับผู้ฟ้องคดีได้อนุมัติให้ดำเนินการจัดซื้อโดยไม่นำราคาประเมินมาพิจารณาประกอบ หรือสั่งให้คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินด้วยวิธีพิเศษกลับไปทบทวนการจัดซื้อก่อน จึงเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้มีคำสั่งให้รับผิดชดใช้เงินคืนตามความเห็นของกรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลัง สำหรับข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ว่าเป็นการจัดซื้อเฉพาะที่และเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วนั้น เห็นว่า เดิมผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ขายที่ดินดังกล่าวให้นายประทีปในราคาเพียง ๒๒๐,๐๐๐ บาท ก่อนหน้าที่นายประทีปจะขายให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพียง ๖ วันต่อมาในราคา ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท ผู้ถูกฟ้องคดีจึงเห็นได้ว่าราคาที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อจากนายประทีปเป็นราคาที่ไม่สมเหตุสมผล ส่วนประเด็นการรับผิดชดใช้เงินคืนนั้น กรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังได้วินิจฉัยโดยถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีจึงออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้เงินคืนตามความเห็นดังกล่าว
        ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า  คดีนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า การออกคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓๑๑/๒๕๔๘ ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มีปัญหาต้องพิจารณาก่อนว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังได้พิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีขณะลงนามอนุมัติให้จัดซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๒๓ จำนวนเนื้อที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา ในราคา ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท โดยไม่นำราคาประเมินที่ดินแปลงดังกล่าวที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา ที่ได้ประเมินราคาที่ดินแปลงนั้นไว้ทั้งแปลงราคา ๒๑๖,๖๐๐ บาท มาพิจารณาประกอบในการจัดซื้อ อีกทั้งผู้ฟ้องคดี
รู้ว่าตนมีชื่อในเอกสารสิทธิที่ดินที่จะซื้อ จึงได้โอนขายให้กับนายประทีปในราคาเพียง ๒๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจากถ้อยคำของนายประทีป และนายเซีย ซึ่งเป็นสามีของผู้ฟ้องคดี สอดคล้องกันว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ฟ้องคดีกับนายประทีปไม่มีการจ่ายเงินและรับเงินที่ได้ซื้อขายกัน แต่มีเจตนาเพื่อเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองที่ดินทางทะเบียนเท่านั้น เพื่อที่เทศบาลจะได้ซื้อที่ดินจากนายประทีปได้โดยไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แต่ผู้ฟ้องคดีในฐานะนายกเทศมนตรีตำบลศรีพนา กลับซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวในราคาสูงถึง ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท ซึ่งมีระยะเวลาซื้อขายทั้งสองครั้งห่างกันเพียง ๖ วัน และยังทราบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งขณะนั้นมีฐานะเป็นสุขาภิบาล ซึ่งผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลได้ซื้อที่ดินเนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๑ งาน ๗๙ ตารางวา เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานในราคาเพียง ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีจัดซื้อเพื่อสร้างสวนสุขภาพและราคาประเมินที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา ซึ่งแจ้งราคาประเมินเพียง ๒๑๖,๖๐๐ บาท ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างสวนสุขภาพมีราคาแพงกว่าความเป็นจริง พฤติการณ์ดังกล่าวน่าเชื่อว่าเป็นการทุจริต เป็นเจ้าพนักงานมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีและโดยทุจริตแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เห็นควรแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย
        สำหรับข้อต่อสู้ของผู้ฟ้องคดีและพยานฝ่ายผู้ฟ้องคดีในชั้นการสอบสวนของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินนั้น ผู้ฟ้องคดีและนายประทีปอ้างว่าผู้ฟ้องคดีตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายประทีปในราคา ๓ ล้านบาท ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยผ่อนชำระค่าที่ดินเป็นรายเดือน เห็นว่า เมื่อมิได้จดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันโดยถูกต้อง การกล่าวอ้างว่าผู้ฟ้องคดีได้ขายที่ดินให้แก่นายประทีปไปก่อนแล้ว จึงเป็นข้อกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย และยังมีข้อพิรุธอีก เช่น การขายที่ดินด้วยราคาสูงถึง ๓ ล้านบาท กลับชำระราคากันเป็นเงินผ่อน ในส่วนของนายประทีปไม่ทราบว่าหนี้ค่าที่ดินคงเหลือเท่าใด อ้างว่าไม่มีหลักฐานการผ่อนชำระเก็บรักษาไว้ ซึ่งผิดวิสัยของวิญญูชนที่จะต้องดูแลรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง ข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งไปกว่านั้นการติดต่อซื้อขายที่ดินพิพาททั้งในการตั้งราคาจะขายที่ดินพิพาทในครั้งแรกและการต่อรองลดราคาลงเหลือ ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท สำนักงานเทศบาลติดต่อกับนายเซีย สามีของผู้ฟ้องคดี โดยนายประทีปมิได้รู้เห็นทั้งสิ้น แม้แต่การรับเงินค่าขายที่ดินของนายประทีป ก็ดำเนินการโดยนางสาวชฎาภรณ์ ประสานส่วน ลูกจ้างของนายเซีย ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีกับนายเซียเป็นสามีภริยากันอยู่ เพิ่งมาจดทะเบียนหย่ากันในภายหลังเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ กรณีจึงทำให้เข้าใจได้ว่าผู้ฟ้องคดีและนายเซียสามีรับทราบและรู้เห็นในการจัดการทรัพย์สินและในกิจการงานในหน้าที่ของแต่ละฝ่าย จากพฤติการณ์ที่ผู้ฟ้องคดีเสนอโครงการจัดซื้อที่ดินจนสภาเทศบาลพิจารณาอนุมัติ และสามีของผู้ฟ้องคดีเข้าเกี่ยวข้องรู้เห็นในการเข้าตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ต้นประกอบกับข้อเท็จจริงที่นายประทีป หรือนายเซีย อดีตสามีของผู้ฟ้องคดีต่างยอมรับว่าที่ดินดังกล่าวค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของนายเซีย กรณีจึงทำให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ มีความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทำการแบ่งขายที่ดินดังกล่าวไปให้แก่นายประทีป เพื่อจะอำพรางและให้นายประทีปเข้ามาสมอ้างเป็นเจ้าของที่ดินเพื่อเข้าเป็นคู่สัญญาในการขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี เนื่องจากผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองในท้องถิ่นและอยู่ในฐานะที่ต้องทราบเป็นอย่างดีว่าตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ บัญญัติห้ามมิให้นายกเทศมนตรีเข้าเป็นคู่สัญญาหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาล เพราะหากฝ่าฝืนกระทำการดังกล่าวเป็นเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีได้ ดังนั้น โดยความเป็นจริงที่ดินแปลงพิพาทที่มีการซื้อขายกันก็คือที่ดินของผู้ฟ้องคดีนั่นเอง ส่วนข้อที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นการซื้อขายเฉพาะที่ ไม่เป็นเหตุผลที่ว่าผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้ซื้อจะต้องยอมรับตามราคาที่ผู้ขายจะตั้งราคาขายได้ตามแต่ผู้ขายจะเรียกร้องเอาตามชอบใจ หากไม่นำราคาที่เคยมีการซื้อขายกันมาก่อนเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการพิจารณาราคาที่ควรจะเป็น ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้ซื้อจะทราบได้อย่างไรว่าผู้ขายตั้งราคาที่ดินสูงเกินไปหรือไม่ เพียงใด ซึ่งตามข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันเป็นระเบียบที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น กำหนดว่า ก่อนดำเนินการซื้อที่ดิน ให้เจ้าหน้าที่พัสดุรายงานเสนอต่อผู้สั่งซื้อ โดยมีรายการตามที่กำหนด ซึ่งรวมถึงรายการที่เกี่ยวกับราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น และราคาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ ๓ ราย และในกรณีเป็นที่ดินซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง ให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา หากเห็นว่าราคาที่เสนอสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควร ก็ให้ต่อรองลงเท่าที่ทำได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีและนายวิฑูรย์ ปลัดเทศบาล ซึ่งทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการจัดซื้อ ต่างก็ยอมรับข้อเท็จจริงในขณะให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวนของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ ว่า คณะกรรมการจัดซื้อมิได้นำราคาประเมินของที่ดินและราคาซื้อขายที่ดินครั้งหลังสุด ๓ รายของสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา มาประกอบการพิจารณาในการจัดซื้อที่ดินที่พิพาท ความเห็นของกรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังที่ว่าผู้ฟ้องคดีกระทำทุจริตแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายจากการจัดซื้อที่ดินดังกล่าว จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำการโดยจงใจฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ถือเป็นการกระทำละเมิดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
        คดีมีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า การกำหนดค่าเสียหายให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีได้คำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมแล้วหรือไม่ นั้น เห็นว่า การอนุมัติจัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเกิดจากการทุจริตของผู้ฟ้องคดี ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน มีอำนาจครอบงำให้คุณให้โทษผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งที่เป็นคณะกรรมการจัดซื้อและเจ้าหน้าที่พัสดุทุกระดับให้ต้องจำยอมปฏิบัติตามที่ผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์ โดยผู้ฟ้องคดีอ้างต่อบุคคลเหล่านั้นว่าการจัดซื้อที่ดินในราคา ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท สามารถกระทำได้เพราะเป็นการซื้อขายที่ดินเฉพาะที่ ประกอบกับเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า ที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อจากนายประทีปเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์เต็มจำนวนจากความเสียหายที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องชำระราคาที่ดินสูงเกินกว่าราคาประเมินไปเป็นเงิน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท การออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดเต็มจำนวนเงินที่กล่าวนั้น จึงเป็นการคำนึงถึงระดับ
ความร้ายแรงแห่งการกระทำของผู้ฟ้องคดีและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยถูกต้องแล้ว ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคำสั่ง ๓๑๑/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งที่พิพาท
        ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
        ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นในประเด็นต่างๆ ดังนี้
        ประเด็นที่หนึ่ง ตามที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การทำนิติกรรมสัญญาน่าเชื่อว่าจะเป็นการดำเนินการของนายเซีย ศิริบุญนภา และผู้ฟ้องคดีเองทั้งหมด ส่วนนายประทีป สุลีสถิระ กระทำนิติกรรมเพียงในนามเท่านั้น ผู้ฟ้องคดีขอชี้แจงว่า แม้ว่าที่พิพาทจะเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีมาแต่เดิม แต่ผู้ฟ้องคดีได้ขายให้กับนายประทีป ญาติลูกพี่ลูกน้องกับนายเซีย สามีของผู้ฟ้องคดีทั้งแปลง เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา ในราคา ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยทำสัญญาจะซื้อขายกันเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ และได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้งหมดให้นายประทีปในวันทำสัญญาซื้อขายนั้น แต่มิได้ซื้อขายกันเป็นเงินสด เพราะนายประทีปทำงานกับนายเซีย จึงได้จ่ายค่าที่ดินกันในลักษณะผ่อนชำระเป็นรายเดือน โดยให้หักจากเงินเดือนที่จะได้รับจากนายเซีย  ต่อมานายประทีปได้ถมที่ดินดังกล่าวสูงกว่าเดิม ๒ เมตร โดยเสียค่าถมไร่ละประมาณ ๒ แสนกว่าบาท จึงทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ นายประทีปได้นำเงินที่ค้างชำระตามสัญญาจะซื้อจะขายมาชำระค่าที่ดินบางส่วนให้กับผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงแบ่งแยกที่ดินที่พิพาทให้เป็นชื่อนายประทีป และนายประทีปได้ขายที่ดินดังกล่าวให้กับผู้ถูกฟ้องคดีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ จำนวน ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา เป็นเงินจำนวน ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท นายประทีปไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ฟ้องคดีตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
        ประเด็นที่สอง ตามที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีมีตำแหน่งนายกเทศมนตรี ขณะลงนามอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินไม่นำราคาประเมินของสำนักงานที่ดินมาประกอบในการจัดซื้อและซื้อที่ดินดังกล่าวแพงเกินไป นั้น ผู้ฟ้องคดีขอชี้แจงว่า สาเหตุที่ไม่นำราคาประเมินของสำนักงานที่ดินมาประกอบการจัดซื้อนั้น เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งจากนายวิฑูรย์ ผันผ่อน ปลัดเทศบาลตำบลศรีพนาว่าไม่จำเป็นต้องนำราคาประเมินของสำนักงานที่ดินมาประกอบการจัดซื้อ เพราะเป็นการซื้อขายเฉพาะที่ ซึ่งตามระเบียบข้อ ๒๑ และข้อ ๕๐ ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดไว้ว่า “กรณีเป็นที่ดินซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง ให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา หากเห็นว่าราคาที่เสนอสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรก็ให้ต่อรองลงเท่าที่ทำได้” นอกจากนั้น ที่ดินบริเวณดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำเป็นถนนเพื่อเป็นเส้นทางเข้าสำนักงานเทศบาล และทางเข้าสวนสุขภาพของเทศบาล การซื้อที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการซื้อเฉพาะเจาะจง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ตั้งที่ดิน จึงไม่สามารถนำราคาข้างเคียงมาเปรียบเทียบกับที่ดินที่ต้องการซื้อได้ นอกจากนี้ การซื้อขายครั้งนี้เป็นการซื้อขายกันตามราคาที่เป็นจริงในท้องตลาด บริเวณใกล้เคียงกันนั้นทำการซื้อขายกันจริงตามราคาท้องตลาดถึงไร่ละหนึ่งล้านบาท ไม่ใช่ราคาประเมินของเจ้าหน้าที่ที่ดิน เพราะราคาประเมินของกรมที่ดินมีไว้เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเท่านั้น ราคาที่จัดซื้อคณะกรรมการจัดซื้อเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะเป็นที่ดินที่มีการถมแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมที่ดินอีก ผู้ฟ้องคดีได้ควบคุมกำกับการซื้อขายที่ดินพิพาทให้เป็นไปตามระเบียบและเกิดประโยชน์กับทางราชการแล้ว โดยไม่มีเจตนาทุจริตแต่ประการใด
        ประการที่สาม ตามที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การอนุมัติจัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเกิดจากการทุจริตของผู้ฟ้องคดี ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานมีอำนาจครอบงำให้คุณให้โทษผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งที่เป็นคณะกรรมการจัดซื้อและเจ้าหน้าที่พัสดุทุกระดับให้ต้องจำยอมปฏิบัติตามที่ผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์ โดยผู้ฟ้องคดีอ้างต่อบุคคลเหล่านั้นว่าการจัดซื้อที่ดินในราคา ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท สามารถกระทำได้เพราะเป็นการซื้อขายที่ดินเฉพาะที่ ประกอบกับเมื่อวินิจฉัยแล้วว่า ที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อจากนายประทีปเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้รับประโยชน์เต็มจำนวนเงินนั้น จึงเป็นการคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำของผู้ฟ้องคดีและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยถูกต้องแล้ว นั้น ผู้ฟ้องคดีขอชี้แจงว่า หากการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการละเมิดต้องรับผิด ค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้นั้นเป็นจำนวนมากเกินความเป็นจริง อีกทั้งการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวคณะกรรมการทุกคนได้ให้ความเห็นชอบ ควรให้คณะกรรมการรับผิดเท่าๆ กัน หาใช่แบ่งความรับผิดตามอัตราส่วน
        ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น และมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี หากผู้ฟ้องคดีจะต้องรับผิด ขอให้ศาลปกครองสูงสุดลดจำนวนเงินที่ผู้ฟ้องคดีจะต้องชดใช้ลงมาอีก และให้คณะกรรมการมีส่วนรับผิดเท่าๆ กัน
        ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคำแก้อุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนด ศาลจึงมีคำสั่งให้รับไว้เป็นคำแถลง

        ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดี โดยได้รับฟังสรุปข้อเท็จจริงของ
ตุลาการเจ้าของสำนวน และคำชี้แจงด้วยวาจาประกอบคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
        ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาเอกสารทั้งหมดในสำนวนคดี กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว
        ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ จังหวัดอุดรธานี ได้รับหนังสือลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๔ ร้องเรียนกล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานที่พักผ่อนสูงกว่าราคาประเมิน โดยมีพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใส ส่อไปในทางทุจริต จึงมีการตรวจสอบสืบสวน และเมื่อได้ดำเนินการตรวจสอบพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้ว เจ้าหน้าที่ได้รายงานผลการตรวจสอบสืบสวนลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๗ สรุปความว่า ผู้ฟ้องคดี นายเซีย อดีตสามี เจ้าหน้าที่พัสดุ และคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษของผู้ถูกฟ้องคดีได้ร่วมกันดำเนินการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับความเสียหายรวมเป็นเงิน ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ จึงมีหนังสือลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗ แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในกรณีดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้มีคำสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓๑๐/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่  ต่อมาคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวรายงานผลเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๘ สรุปว่า ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ผู้ฟ้องคดีได้อนุมัติให้จัดซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๒๓ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าที่ดินแปลงดังกล่าวราคาประเมิน ๒๑๖,๖๐๐ บาท เนื่องจากเดิมผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว และก่อนมีการซื้อขายเพียง ๖ วัน ผู้ฟ้องคดีโอนขายให้นายประทีปในราคา ๒๒๐,๐๐๐ บาท และนายประทีปนำมาขายให้ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นเงิน ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท สูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น เป็นเงิน ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท จึงให้ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้อนุมัติจัดซื้อที่ดิน และนายวิฑูรย์ ปลัดเทศบาล ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ แต่ละคนรับผิดชอบกึ่งหนึ่งของจำนวน ๑,๑๔๕,๐๐๐ บาท คือคนละ ๕๗๒,๕๐๐ บาท ส่วนผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ไม่ต้องรับผิดชดใช้เงิน หลังจากนั้นคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ได้เสนอความเห็นต่อนายอุดม เกิดลาภา นายกเทศมนตรีตำบลศรีพนา ซึ่งนายกเทศมนตรีตำบลศรีพนาพิจารณาแล้วเห็นชอบกับความเห็นของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณา  ต่อมากรมบัญชีกลางผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงการคลังแจ้งผลการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดกรณีนี้ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบตามหนังสือที่ กค ๐๔๐๖.๒/๓๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีจัดซื้อที่ดินสูงกว่าราคาความเป็นจริง และมีมูลค่าความเสียหายจำนวน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท โดยคำนวณจากส่วนต่างของราคาที่ผู้ถูกฟ้องคดีจัดซื้อจากนายประทีป กับราคาประเมินจำนวน ๒๑๖,๖๐๐ บาท ที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการอาศัยโอกาสในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีได้รับความเสียหายจำนวน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท และจากมูลค่าความเสียหายจำนวนดังกล่าวให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังนี้ (๑) ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดเต็มจำนวน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท (๒) ส่วนความรับผิดของคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ นายวิฑูรย์ ผันผ่อน ในฐานะประธานกรรมการ ให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละ ๔๐ ของมูลค่าความเสียหาย นางสมจิตร สุระการ และนางวินิจ โพธิ์เวียง ในฐานะกรรมการ ให้แต่ละคนรับผิดในอัตราร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าความเสียหาย (๓) ส่วนของผู้อนุมัติให้มีการจัดซื้อ นายวิฑูรย์ ผู้เสนอเรื่องให้อนุมัติการจัดซื้อ และนายบุญส่ง แก่นท้าว เจ้าหน้าที่พัสดุที่ทำรายงานขออนุมัติดำเนินการจัดซื้อ ให้แต่ละคนรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละ ๑๕ ของจำนวนมูลค่าความเสียหายทั้งหมด อนึ่ง หากผู้ถูกฟ้องคดีได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดี เมื่อนำมารวมกับจำนวนเงินที่นายวิฑูรย์ นางสมจิตร นางวินิจ และนายบุญส่งได้ชดใช้เกินจำนวนความเสียหาย ให้คืนแก่บุคคลผู้มีชื่อดังกล่าวตามสัดส่วนแห่งความรับผิดและที่ได้ชำระไว้ของแต่ละคน ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีคำสั่งที่ ๓๑๑/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ สั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้เงินค่าเสียหายจำนวน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล
        คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า คำสั่งผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๓๑๑/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการเป็นเงินจำนวน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นตามคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ฟ้องคดีจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ทางราชการหรือไม่
        พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ถ้าเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๘ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติข้างต้นกำหนดว่า หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงเห็นได้ว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวกำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ในกรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ว่าหน่วยงานของรัฐจะใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพียงใด นั้น จะต้องพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดีได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลศรีพนา ได้ทำสัญญาซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๒๓ จำนวนเนื้อที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา จากนายประทีป ในราคา ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท ซึ่งการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวเป็นการจัดซื้อเฉพาะแห่ง และจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ซึ่งตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๒๑ กำหนดว่า ก่อนดำเนินการซื้อที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้าง ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงาน เสนอต่อผู้สั่งซื้อตามรายการดังต่อไปนี้ ... (๒) รายละเอียดของที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องการซื้อ รวมทั้งเนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ (๓) ราคาประเมินของทางราชการในท้องที่นั้น (๔) ราคาซื้อขายของที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ ๓ ราย ... และข้อ ๕๐ กำหนดว่า การซื้อโดยวิธีพิเศษ ให้หัวหน้าฝ่ายบริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษขึ้นเพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้ ... (๖) ในกรณีพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง ให้เชิญเจ้าของที่ดินโดยตรงมาเสนอราคา หากเห็นว่าราคาที่เสนอนั้นยังสูงกว่าราคาในท้องตลาดหรือราคาที่คณะกรรมการเห็นสมควรให้ต่อรองราคาลงเท่าที่จะทำได้  ดังนั้น ในการจัดซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว จำต้องปฏิบัติตามระเบียบข้างต้น แต่จากข้อเท็จจริงตามรายงานตรวจสอบสืบสวน เรื่อง การซื้อที่ดินก่อสร้างสวนสุขภาพมีราคาสูงและไม่โปร่งใส ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ อุดรธานี และรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ปรากฏข้อเท็จจริงสอดคล้องกันว่า คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษไม่ได้นำข้อมูลราคาประเมินที่ดินและราคาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อที่ดินครั้งหลังสุดจำนวน ๓ ราย ที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา ประกอบการพิจารณาว่า สมควรที่จะซื้อที่ดินแปลงนั้นตามราคาที่เสนอหรือไม่ อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๒๓ เป็นที่ดินที่แบ่งแยกจากที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๙๙ ซึ่งเคยอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี แต่ได้ขายให้แก่นายประทีป เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ในราคา ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายไว้ต่อกันโดยยังไม่มีการโอนเพราะนายประทีปยังจ่ายเงินยังไม่ครบ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกไปจำนวน ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา เป็น น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๑๒๓ แล้วโอนขายให้แก่นายประทีป ในราคา ๒๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ โดยตามคำให้การของนายประทีปที่ได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๖ ความว่า การซื้อขายที่ดินแปลงพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีติดต่อผ่านนายเซีย นายเซียเป็นผู้ตั้งราคาเสนอขาย ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ยอมลดลงเหลือ ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท โดยตนไม่ได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีโดยตรง เงินค่าขายที่ดินตนเป็นผู้รับเช็คจากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี และนายเซียได้นำตนไปถอนเงินสดจากธนาคาร โดยมีนางสาวชฎาภรณ์ลูกจ้างของนายเซีย เขียนใบนำฝากเช็คเข้าธนาคารให้พร้อมกับเขียนใบถอนเงินจากธนาคารในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ตนเป็นผู้ลงลายมือชื่อผู้ถอนเงินและผู้รับเงิน เพื่อถอนเงิน ๑,๓๖๕,๐๐๐ บาท ถูกหักค่าที่ดินซึ่งตนเป็นหนี้อยู่ส่วนหนึ่ง มีเงินสดเหลือให้ตน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนเงินที่เหลือนายเซียเป็นผู้รับไปทั้งหมด ส่วนหลักฐานสัญญาซื้อขายใบต่อรองราคาระหว่างตนกับผู้ถูกฟ้องคดีเป็นลายมือชื่อของตนจริง สำหรับหลักฐานการซื้อขายที่ดินจำนวน ๒ ไร่ ๑ งาน ๘๓ ตารางวา ระหว่างตนกับผู้ฟ้องคดี ตนไม่ทราบรายละเอียด เพียงแต่ลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ ตามที่นางสาวชฎาภรณ์นำมาให้และตนก็ไม่ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากผู้ฟ้องคดี และไม่ได้จ่ายเงินจำนวน ๒๒๐,๐๐๐ บาท ให้กับผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ซึ่งนางสาวชฎาภรณ์ก็รับว่าได้พานายประทีปไปดำเนินการเบิกเงินที่ธนาคารจริง กรณีจึงน่าเชื่อว่า การซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวไม่มีการต่อรองราคา และเมื่อพิจารณาพฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีแล้ว น่าเชื่อว่า การที่ผู้ฟ้องคดีขายที่ดินให้แก่นายประทีปเป็นการทำนิติกรรมอำพรางโดยผู้ฟ้องคดีมีเจตนาหลีกเลี่ยงการมีส่วนได้เสียในสัญญากับผู้ถูกฟ้องคดี ตามมาตรา ๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ จากข้อเท็จจริงข้างต้นจึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีจงใจซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสวนสุขภาพ โดยไม่ดำเนินการตามข้อ ๒๑ (๒) (๓) (๔) และข้อ ๕๐ (๖) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อการกระทำดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ทางราชการด้วย ทั้งนี้ ตามมาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
        กรณีมีประเด็นต้องพิจารณาต่อไปว่า การกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี โดยให้ชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน เป็นเงิน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท นั้น ถูกต้องและเป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี หรือไม่ เห็นว่า การอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินแปลงพิพาทนั้นเป็นอำนาจของผู้ฟ้องคดี ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลศรีพนา  ดังนั้น การตัดสินใจซื้อหรือไม่ย่อมอยู่ในอำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของผู้ฟ้องคดี เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีซื้อจากนายประทีป นายเซียสามีของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้เสนอราคาขายกับคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีพิเศษ โดยมิได้มีการต่อรองราคาไม่มีการเปรียบเทียบราคาประเมินของสำนักงานที่ดินและราคาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงบริเวณที่จะซื้อครั้งหลังสุดประมาณ ๓ ราย ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดีแต่ได้โอนให้แก่นายประทีปเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายและเพื่อให้มีการซื้อขายที่ดินราคาแพงกว่าความเป็นจริง สามีของผู้ฟ้องคดีและผู้ฟ้องคดีย่อมเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากราคาที่ดินที่แพงเกินความจริงดังกล่าวเต็มจำนวน  ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้กำหนดความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยคำนวณจากส่วนต่างของราคาที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีจัดซื้อจากนายประทีปกับราคาประเมินที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดหนองคาย สาขาเซกา โดยให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดเต็มจำนวน คิดเป็นเงิน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท และผู้ถูกฟ้องคดีได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดซื้อที่ดินที่จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในกรณีเดียวกันนั้น โดยกำหนดระดับความรับผิดแตกต่างกันไปตามระดับแห่งความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดียังได้ระบุไว้ในคำสั่งว่า หากผู้ถูกฟ้องคดีได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดีเมื่อนำมารวมกับจำนวนเงินของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดซื้อที่ดินดังกล่าวแล้วเกินจำนวนความเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีจะคืนเงินที่ได้รับชำระไว้เกินให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามสัดส่วนแห่งความรับผิดและที่ได้ชำระไว้ของแต่ละคน จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ แล้ว ดังนั้น คำสั่งผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๓๑๑/๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการเป็นเงินจำนวน ๑,๑๔๘,๔๐๐ บาท จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
        พิพากษายืน
       
นายชาญชัย แสวงศักดิ์                               ตุลาการเจ้าของสำนวนและ
ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด                       ตุลาการองค์คณะ

นายปรีชา  ชวลิตธำรง                   
ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด

นายวรพจน์  วิศรุตพิชญ์                                         ตุลาการองค์คณะ
ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด

นายวิษณุ  วรัญญู
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

นายนพดล  เฮงเจริญ
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด           


ตุลาการผู้แถลงคดี : นายณัฐ  รัฐอมฤต